HoonSmart.co>> กองทุนรวม 4 เดือนแรกแผ่วโต 1.7 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.29% มูลค่าแตะ 5.92 ล้านล้านบาท เงินโยกเข้ามันนี่มาร์เก็ต กองทุนตราสารหนี้ดันยอดโต 1.3 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.54% พักเงินลงทุน หลบความเสี่ยงตลาดหุ้นร่วง รอความชัดเจนภาษีสหรัฐฯ ด้านเศรษฐกิจในประเทศชะลอตัว ส่วนกองทุน LTF แรงขายชะงักหลังรัฐเปิดทางโอนเข้า Thai ESGX ด้าน “บลจ.บัวหลวง” ประเมินอุตสาหกรรมปีนี้ยังเติบโตได้ดีจากกองทุนตราสารหนี้ เตรียมออกกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นอายุไม่เกิน 1 ปี เสิร์ฟลูกค้าแบงก์

ภาพรวมอุตสาหกรรมกองทุนรวมในช่วง 4 เดือนแรก ปี 2568 (สิ้นสุดวันที่ 30 เม.ย.2568) มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) เติบโตต่อเนื่องแตะ 5,925,824 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17,098 ล้านบาท หรือ 0.29% จากสิ้นปี 2567 มีมูลค่า 5,908,726 ล้านบาท จากจำนวนบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) ทั้งหมด 23 แห่ง และมีกองทุนรวมทั้งสิ้น 3,326 กองทุน เพิ่มขึ้น 14 กองทุน จากสิ้นปี 2566 มีจำนวน 3,312 กองทุน ข้อมูลจากสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC)
กองทุนรวมตราสารหนี้ มีมูลค่าสูงสุดเติบโตแตะ 3,006,434 ล้านบาท ส่วนแบ่ง 50.73% ของทั้งหมด เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง 130,638 ล้านบาท หรือ 4.54% จากสิ้นปี 2567
รองลงมา กองทุนตราสารทุน มีมูลค่าลดลงอยู่ที่ 1,636,007 ล้านบาท ส่วนแบ่ง 27.61% ของมูลค่ารวม ลดลง 148,506 ล้านบาท หรือ -8.32% จากสิ้นปี 2567
กองทุนรวมผสม มีมูลค่า 375,684 ล้านบาท ส่วนแบ่ง 6.34% ของทั้งหมด เพิ่มขึ้น 20,849 ล้านบาท หรือ 5.88% จากสิ้นปี 2567
กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน มีมูลค่าอยู่ที่ 341,873 ล้านบาท ส่วนแบ่ง 5.77% ของทั้งหมด มูลค่าลดลง 9,208 ล้านบาท หรือ -2.62% จากสิ้นปี 2567
ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) มีมูลค่าอยู่ที่ 321,399 ล้านบาท ส่วนแบ่ง 5.42% ของทั้งหมด มูลค่าเพิ่มขึ้น 61,559 ล้านบาท หรือ 23.69% จากสิ้นปี 2567
หากแยกรายประเภทกองทุน พบกองทุนรวมเพื่อไปลงทุนต่างประเทศ (FIF) มูลค่าทรัพย์สินสุทธิเติบโตต่อเนื่องแตะ 1,361,250 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8,948 ล้านบาท หรือ 0.66% จากสิ้นปี 2567 โดยมีจำนวนกองทุนออกใหม่ 55 กอง ส่งผลให้มีจำนวนกองทุนเพิ่มเป็น 1,373 กองทุน
ขณะที่กองทุนรวมตลาดเงินหรือมันนี่ มาร์เก็ต ที่เป็นแหล่งพักเงินเพื่อรอการลงทุน มีมูลค่าเติบโตเช่นกันอยู่ที่ 330,678 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17,818 ล้านบาท หรือ 5.70%

นายชัชชัย สฤษดิ์อภิรักษ์ กรรมการผู้จัดการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน (CIO) บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) บัวหลวง (BBLAM) เปิดเผยว่า เม็ดเงินลงทุนในกองทุนรวมทั้งระบบส่วนใหญ่อยู่ในกองทุนรวมตราสารหนี้ หุ้นและกองทุนผสม ซึ่งการเติบโตในช่วง 4 เดือนแรกยังคงมาจากกองทุนรวมตราสารหนี้ ต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมาส่งผลให้มูลค่า AUM ทะลุ 3 ล้านล้านบาท จากสิ้นปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 2.88 ล้านล้านบาท โดยเป็นกองทุนรวมตลาดเงิน (มันนี่ มาร์เก็ต) ประมาณ 60-65% กองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นที่มีอายุน้อยกว่า 1 ปี ส่วนใหญ่เป็นเทอมฟันด์มีสัดส่วน 27% และกองทุนตราสารหนี้อายุมากกว่า 1 ปี มีสัดส่วนประมาณ 10%
ด้านผลตอบแทนของมันนี่ มาร์เก็ตประมาณ 1.7% ส่วนกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นอยู่ที่ประมาณ 2-2.5% ทำให้มีเงินไหลเข้ามาลงทุน จากฐานเงินส่วนใหญ่ในประเทศไทยเป็นลูกค้าฝากเงินเป็นหลัก ดังนั้นในช่วงที่ธนาคารไม่ได้ปล่อยสินเชื่อ ทำให้ดอกเบี้ยเงินฝากไม่จูงใจ นักลงทุนส่วนหนึ่งจึงเข้ามาลงทุนกองทุนตราสารหนี้ รวมถึงพักเงินในช่วงตลาดหุ้นยังมีความไม่แน่นอน
นอกจากนี้ในตลาดไม่มีปัญหาการผิดนัดชำระหนี้ (Default) เกิดขึ้นมากนัก ประกอบกับคำจำกัดความนิยามของก.ล.ต. หากผู้ออกตราสารหนี้สามารถรีไฟแนนซ์โดยได้รับความเห็นชอบจากผู้ถือหุ้นกู้ทำให้ตราสารหนี้นั้นไม่ถือเป็นการผิดนัดชำระ ช่วงที่ผ่านมาจึงเห็นภาพการ Default น้อยมาก ขณะที่บลจ.ขนาดใหญ่ก็ไม่ได้มีการลงทุนในหุ้นกู้ที่มีปัญหาจึงทำให้เงินไหลเข้ามาลงทุน
ส่วนกองทุนหุ้นมูลค่า AUM ปรับลดลงตามตลาดหุ้นที่ปรับตัวลง ขณะที่กองทุนผสมมูลค่าไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนักและกองทุนรวมที่ไปลงทุนต่างประเทศ (FIF) มูลค่าเพิ่มขึ้นจากหุ้นต่าง
ปรเะเทศที่ปรับตัวขึ้น
“ภาพรวมปีก่อนต่อเนื่องถึงปีนี้ เศรษฐกิจไม่ค่อยแน่นอน หุ้นไทยไม่ค่อยดี ทำให้เงินของอุตสาหกรรมกองทุนรวมไปรวมอยู่ที่กองตราสารหนี้ ส่งผลให้มูลค่าของกองทุนตราสารหนี้เติบโตได้ดีทั้งในภาพรวมอุตสาหกรรมกองทุนรวม และของบลจ.บัวหลวงด้วย รวมถึงบลจ.ในเครือแบงก์ที่คาดว่าในปี 2568 นี้ ทั้งอุตสาหกรรมมีโอกาสเติบโตได้ต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา จากกองทุนตราสารหนี้เช่นเดิม โดยแนวโน้มการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายสนับสนุนให้การลงทุนตราสารหนี้ได้รับความนิยมต่อเนื่อง”นายชัชชัย กล่าว
สำหรับบลจ.บัวหลวงในปีนี้ยังคงให้น้ำหนัการลงทุนในตราสารหนี้ โดยเฉพาะการพักเงินในกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นที่ให้ผลตอบแทนมากกว่าเงินฝาก และเตรียมเปิดกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นอายุไม่เกิน 1 ปี เพื่อรองรับความต้องการของนักลงทุนโดยเฉพาะลูกค้าแบงก์ เพราะผลตอบแทนที่ได้สูงกว่า
สำหรับกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ในช่วง 4 เดือนแรกมีแรงขายออกมามากในช่วงต้นปีจนกระทั่งรัฐบาลออกมาตรการให้โยกเงินเข้าไปในกองทุน Thai ESGX พร้อมรับสิทธิ์ลดหย่อนภาษี จึงช่วยหยุดแรงขาย LTF ลงได้ จากสิ้นปีที่ผ่านมามีมูลค่า 2.20 แสนล้านบาท ณ สิ้นเดือนเม.ย.อยู่ที่ 1.56 แสนล้านบาท จากสิ้นมี.ค.อยู่ที่ 1.56 แสนล้านบาท ซึ่งมูลค่าลดลงเพียง 216 ล้านบาท
“กองทุน LTF ภายใต้การบริหารของบลจ.บัวหลวง มูลค่าประมาณ 37,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะมีเม็ดเงินย้ายเข้ากองทุน Thai ESGX ของบลจ.บัวหลวงประมาณ 40% ส่วนเม็ดเงินใหม่(IPO) ที่จะเข้ามาในช่วงเปิดซื้อขาย 2 เดือนนี้ คาดว่าจะเข้ามาในบลจ.บัวหลวงประมาณ 3,500 ล้านบาท จากช่วง IPO ซึ่งมียอดขาย 236 ล้านบาท อยู่ในระดับสูงของอุตสาหกรรม ส่วนหนึ่งคาดว่าจะมาจากกองทุน ESG ที่บริหารจัดการอยู่นั้นสร้างผลตอบแทนติดอันดับต้นๆ ของอุตสาหกรรม จึงอาจมีส่วนให้นักลงทุนเข้ามาลงทุน”นายชัชชัย
ส่วนกองทุน SSFและ SSFX มูลค่าลดลงจาก 69,436 ล้านบาท อยู่ที่ 65,815 ล้านบาท และกองทุน RMF ปัจจุบันมีเงินลงทุนในต่างประเทศเพิ่มขึ้นเป็นสัดส่วน 33% รองจากตราสารหนี้อยู่ที่ 36% หุ้น 19% และลงทุนผสม 12% ส่วนกองทุน ESG มูลค่าเพิ่มขึ้นเป็น 34,745 ล้านบาท จากสิ้นปีก่อนอยู่ที่ 29,596 ล้านบาท
