ตลท.ส่งสัญญาณเร่งควบรวมโบรกเกอร์ เกือบครึ่งขาดทุน-เหลือ 18 แห่งสวย

HoonSmart.com>>ประธาน ตลาดหลักทรัพย์ฯ กระทุ้งบล.ควบรวมกิจการ หลังครึ่งหนึ่งประสบปัญหาขาดทุน ย้ำเหลือแค่ 18 แห่งกำลังดี

ศาสตราจารย์พิเศษกิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ต้องการเห็นบริษัทหลักทรัพย์ หรือ บล.ทำการควบรวมกิจการ ให้เหลือประมาณ 18 แห่ง เพื่อจะได้ไม่แย่งตลาดกันเอง และเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน จากปัจจุบันที่มีมากเกินไป และกว่าครึ่งหนึ่งประสบภาวะขาดทุนมาตลอดในช่วง 1-2 ปี ผลจากมูลค่าการซื้อขายในตลาดปรับตัวลดลง

“ปัจจุบัน บริษัทหลักทรัพย์ มีทั้งหมด 39 บริษัท ถือว่ามีมากเกินไป ทำให้แย่งลูกค้ากันเอง หากลดจำนวนลงจะทำให้เกิดการพัฒนาคุณภาพ และนำบริการดีๆ ให้กับลูกค้า ซึ่งการมี 18 บริษัทก็ถือว่าเยอะแล้ว”ศาสตราจารย์พิเศษกิติพงศ์ กล่าว

ศาสตราจารย์พิเศษกิติพงศ์ กล่าวว่า ในอนาคต ต้องการเห็นบริษัทจดทะเบียนเพิ่มขึ้นอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 1,500 แห่ง จากปัจจุบัน 800 บริษัท ซึ่งถือว่ายังน้อยเมื่อเทียบกับบริษัทที่เสียภาษี 1 แสนราย ซึ่งในระยะยาวหากสามารถดึงบริษัทเข้ามาจดทะเบียนได้อย่างน้อย 10% ของบริษัทที่เสียภาษีจะทำให้ตลาดทุนไทยมีขนาดที่ใหญ่ขึ้น

ปัจจุบัน ตลาดหลักทรัพย์ฯ พยายามที่จะดึงบริษัทในทุกระดับเข้ามาจดทะเบียน ซึ่งมีหลายตลาดรองรับฯ และในตลาดหลัก อยากเห็นการแยกกระดานเทรดออกเป็น 2 กระดาน คือ กระดานของธุรกิจเก่า และกระดานของธุรกิจใหม่ หรือ New Economy เพื่อให้เห็นความชัดเจน และสร้างแรงจูงใจด้านสิทธิประโยชน์พิเศษต่างๆ ซึ่งมีการหารือและพูดคุยกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง

“เรามีการพูดคุยกับบริษัทขนาดใหญ่ที่มีธุรกิจหลากหลาย เช่น กลุ่มปตท. (PTT) บมจ.ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น (WHA) เพื่อให้แยกธุรกิจที่มีศักยภาพออกมาตั้งเป็นบริษัทใหม่ แล้วนำเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ” ศาสตราจารย์พิเศษกิติพงศ์ กล่าว

ทั้งนี้ ปัจจุบัน ตลาดหลักทรัพย์ฯ มี ตลาดหลักทรัพย์ หรือ SET สำหรับบริษัทขนาดใหญ่ ,ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) สำหรับบริษัทขนาดกลาง และตลาด Live Exchange สำหรับ SME และ Startup เข้ามาระดมทุน

ศาสตราจารย์พิเศษกิติพงศ์ กล่าวถึง ผลงานในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา ว่า สถานการณ์ตลาดทุนฯเริ่มมีความนิ่งขึ้น หลังจากออกมาตรการต่างๆ ออกมา สะท้อนภาพความเชื่อมั่นที่ดี ซึ่งมีการดำเนินงานใน 3 ด้าน เพื่อยกระดับการกำกับดูแลและสร้างเสถียรภาพตลาดทุนไทย

 

สำหรับ ที่กำลังดำเนินการอยู่นั้น มีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง โดยโครงการ JUMP+ จะเปิดโครงการภายในเดือนมิ.ย.นี้ ซึ่งตั้งเป้าบริษัทเข้าร่วมโครงการ 50-100 บริษัท ในส่วนของการดึงธุรกิจโลกใหม่ หรือ New Economy ก็ยังเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในมาเลเซีย มีการสนับสนุนเงินทุนให้กับบริษัทกลุ่มดังกล่าว แต่ของไทยคงยาก อย่างไรก็ตาม มีหลายหน่วยงานที่มีนโยบายสนับสนุนสตาร์ทอัพ ด้านการผลักดันแนวคิดการออมและการลงทุนระยะยาว ผ่านโครงการ TISA อยู่ระหว่างการศึกษาวิจัย

ทั้งนี้ จากข้อมูลตลาดหลักทรัพย์ฯ ลูกค้าที่เปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์สุทธิ ถึงเดือน มี.ค.2568 มีจำนวน 6,482,313 บัญชี มีลูกค้าที่ซื้อขายภายใน 1 เดือน จำนวน 384,290 บัญชี และลูกค้าที่ซื้อขายภายใน 6 เดือน มี 821,278 บัญชี

บริษัททริส เรตติ้ง เคยวิเคราะห์แนวโน้มธุรกิจกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์เมื่อปลายปี 2567 ไว้ว่า ธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ในประเทศไทยเผชิญสภาวะการแข่งขันที่รุนแรง เนื่องจากมีผู้ประกอบการจำนวนมากในอุตสาหกรรม ส่งผลให้บริษัทหลักทรัพย์ต้องปรับกลยุทธ์โดยการเพิ่มช่องทางและขยายขอบเขตการให้บริการเพื่อกระจายแหล่งรายได้สู่การเติบโตอย่างยั่งยืน เช่น การนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ ๆ เช่น การซื้อขายหน่วยลงทุน การให้คำแนะนำการจัดพอร์ตลงทุนรวมทั้งการขยายฐานลูกค้า

ขณะที่ ธุรกิจให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ในปี 2568 โดยรวมจะยังคงชะลอตัวต่อเนื่อง จากการยุติบริการของผู้ประกอบการรายใหญ่รายหนึ่งเนื่องจากปัญหาหนี้เสีย และผู้ประกอบการส่วนใหญ่ระมัดระวังในการปล่อยกู้มากขึ้น โดยเฉพาะหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กที่มีการเปลี่ยนแปลงของราคาอย่างรวดเร็ว