กลุ่มเอไอเอ ทำมูลค่าธุรกิจใหม่นิวไฮ ปันผล 8.4 หมื่นล.-ซื้อหุ้นคืนเพิ่ม

HoonSmart.com>>กลุ่มบริษัทเอไอเอ ประกาศผลประกอบการมูลค่าธุรกิจใหม่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 4.8 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 31%  เตรียมจ่ายปันผล 8.4 หมื่นล้านบาท ประกาศซื้อหุ้นคืนเพิ่มอีก 7.3 หมื่นล้านบาท 

นายหลี่ หยวน ชยอง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มบริษัทเอไอเอ กล่าวว่า มูลค่าธุรกิจใหม่ประจำไตรมาส 1 ของปี 2567 เพิ่มขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์อยู่ที่ 1,327 ล้านเหรียญสหรัฐ(ประมาณ 48,515.12 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 31% แสดงให้เห็นถึงข้อได้เปรียบทางการแข่งขันและวินัยทางการเงิน

ทั้งนี้ คณะกรรมการบริหารได้อนุมัติการซื้อหุ้นคืนเพิ่มอีก 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐ(ประมาณ 73,120 ล้านบาท) ในโครงการซื้อหุ้นคืน คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในระยะเวลาประมาณ 12 เดือน รวมเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 12,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 438,720 ล้านบาท) การดำเนินการเหล่านี้ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการคืนผลตอบแทนที่เกินความต้องการอย่างเป็นระบบ ในขณะเดียวกันธุรกิจใหม่ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องด้วยผลตอบแทนที่น่าดึงดูด

“ผลประกอบการในวันนี้แสดงให้เห็นว่าเอไอเอมีการวางกลยุทธ์ที่ถูกต้อง และการดำเนินการอย่างสม่ำเสมอจะมอบผลลัพธ์ที่เหมาะสมสำหรับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด เป้าหมายของเรายังคงมุ่งมั่นในการสร้างผลกำไรผ่านการดำเนินธุรกิจใหม่ ซึ่งจะสร้างความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญในการกำหนดอนาคตทางการเงินด้วยการส่งมอบรายได้ที่เพิ่มขึ้นในอนาคต เงินกองทุนส่วนเกินและมูลค่าผู้ถือหุ้นที่เพิ่มมากขึ้น”นายหลี่ หยวน ชยอง กล่าว

ทั้งนี้ บริษัทฯจะมีการคืนผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นผ่านการจ่ายเงินปันผลที่ 75% ของเงินกองทุนส่วนเกินประจำปี (net FSG) เป็นเงิน 2,300 ล้านเหรียญสหรัฐ(ประมาณ 84,088 ล้านบาท) และการซื้อหุ้นคืน 6,000 ล้านเหรียญสหรัฐ(ประมาณ 219,360 ล้านบาท) เริ่มตั้งแต่ผลประกอบการประจำปี 2567 รวมถึงดำเนินการทบทวนสถานะเงินทุนและผลตอบแทนที่เกินความต้องการอย่างสม่ำเสมอ

 

เอไอเอ ประเทศไทย ส่งมอบมูลค่าธุรกิจใหม่ที่เติบโตเป็นเลขสองหลักทั้งจากช่องทางตัวแทนและช่องทางแบงก์แอสชัวรันส์ สำหรับในด้านตัวแทน การเติบโตได้รับการสนับสนุนจากการเพิ่มจำนวนตัวแทนที่สร้างผลงานและผลผลิตที่เพิ่มสูงขึ้น และเรายังคงผลักดันในการสรรหาบุคลากรที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง อัตรากำไรจากมูลค่าธุรกิจใหม่ยังคงแข็งแกร่งที่มากกว่า 90% โดยได้ประโยชน์จากการสนับสนุนอย่างสูงทั้งจากผลิตภัณฑ์ประกันที่มอบความคุ้มครองแบบดั้งเดิมและผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตควบการลงทุน (ยูนิต ลิงค์)

เบี้ยประกันภัยรับปีแรก (ANP) ของกลุ่มบริษัทเติบโตขึ้น 26% เป็น 2,449 ล้านเหรียญสหรัฐ(ประมาณ 89,535.44 ล้านบาท) ในไตรมาสแรกของปี 2567 และอัตรากำไรของมูลค่าธุรกิจใหม่เพิ่มขึ้นเป็น 54.2% โดยได้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกในส่วนประสมของผลิตภัณฑ์ที่นำเสนอ จากแนวทางปฏิบัติทั่วไปของเรา สมมติฐานผลตอบแทนการลงทุนระยะยาวยังคงไม่เปลี่ยนแปลงจากที่แสดงในรายงานประจำปี 2566 เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสแรกของปี 2566 อัตรากำไรที่รายงานตามมูลค่าปัจจุบันของเบี้ยประกันภัยธุรกิจใหม่ (PVNBP) เพิ่มขึ้นจาก 10% เป็น 11% ในขณะที่มูลค่าเบี้ยประกันภัยรับรวม (TWPI) เพิ่มขึ้น 13% เป็นจำนวน 11,223 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 410,312.88 ล้านบาท)

พอร์ตลงทุนของบริษัท ณ วันที่ 31 มีนาคม 2567 พอร์ตตราสารหนี้ คิดเป็นมูลค่าประมาณ 3,900 ล้านเหรียญสหรัฐ(ประมาณ 109,680 ล้านบาท เทียบกับประมาณ 4,000 ล้านเหรียญสหรัฐ(ประมาณ 146,240 ล้านบาท) ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566 ในขณะที่ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (ECL) สำหรับพอร์ตหุ้นกู้ไม่มีการเปลี่ยนแปลงในไตรมาสแรกของปี 2567 การตั้งสำรองของค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตไว้ที่มูลค่า 485 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็น 0.5% ของพอร์ตหุ้นกู้ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2567 สะท้อนถึงพอร์ตการลงทุนคุณภาพสูงโดยรวมของเอไอเอ

ทั้งนี้ ภูมิภาคเอเชียยังคงน่าสนใจที่สุดในโลกสำหรับการนำเสนอประกันชีวิตและประกันสุขภาพ เงินออมภาคเอกชนในระดับสูง ประชากรสูงวัยที่เพิ่มขึ้น การเข้าถึงการประกันภัยที่ต่ำ และความคุ้มครองด้านสวัสดิการที่จำกัด

สำหรับ การบริหารความเสี่ยงด้านความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ บริษัททำการจับคู่สินทรัพย์และหนี้สินเป็นเงินสกุลท้องถิ่น เพื่อลดผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ