“บลจ.บัวหลวง” แนะถือเงินสดเพิ่ม 9-10% มองเป้าหุ้นไทยปีนี้ 1,250-1,300 จุด

HoonSmart.com>>บลจ.บัวหลวง (BBLAM) มองตลาดผันผวนสูง นโยบายทรัมป์ฉุดเศรษฐกิจ แนะลงทุนอย่างระมัดระวัง กระจายลงทุนหุ้นคุณภาพทั่วโลก ลดน้ำหนักหุ้นเทคสหรัฐฯ เพิ่มหุ้นเทคจีน เลี่ยงลงทุนธีม Thematic Fund เน้น AI-หุ้นขนาดกลางและเล็ก โฟกัสหุ้นใหญ่ ส่วน “หุ้นไทย” คาดเป้าหมายดัชนีสิ้นปีนี้ 1,250-1,300 จุด แนะถือเงินสดเพิ่มเป็น 9-10% เน้นหุ้น Defensive กระแสเงินสดสูง
 


 

บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) บัวหลวง (BBLAM) นำทีมผู้บริหารจัดการลงทุนอัปเดตสถานการณ์เศรษฐกิจไทย และเศรษฐกิจโลก พร้อมเปิดมุมมองการลงทุนในตลาดหุ้นไทยและปรับพอร์ตลงทุนท่ามกลางสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนรอบด้านจากภาษีสหรัฐฯ

“ในปี 2568 นี้ ภาพรวมตลาดหุ้นยังมีความไม่แน่นอนสูง การลงทุนจึงควรกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย หากเป็นพอร์ตทั่วไปไม่นับรวมกองทุนภาษีแนะนำลงทุนในหุ้นทั่วโลกมากกว่าหุ้นไทย ซึ่งสัดส่วนเท่าไรนั้นขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล แต่สำหรับการลงทุนในกองทุนลดหย่อนภาษีสำหรับเม็ดเงินใหม่มองกองทุน ThaiESGX น่าสนใจลงทุน”นายชัชชัย สฤษดิ์อภิรักษ์ Managing Director, Head of Fund Management บลจ.บัวหลวง (BBLAM) กล่าว

สำหรับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของไทยในตลาดคาดการณ์ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 1-2 ครั้งในครึ่งปีหลัง โดยในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้เงินลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิในตลาดตราสารหนี้ไทย 10,299 ล้านบาท ซึ่งลงทุนในตราสารหนี้ระยะยาวด้วย ส่วนภาพรวมตลาดหุ้นกู้ไทยไม่น่ากังวล ซึ่งหุ้นกู้ที่อยู่ในระดับลงทุนได้ (Investment Grade) ยังระดมทุนได้ ขณะที่ตราสารหนี้ที่มี Credit rating ด้อยกว่าพบว่า Credit Spread ปรับตัวสูงขึ้นกว่าในอดีตสะท้อนภาพความเสี่ยงที่สูงขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มไฮยีลด์บอนด์

 

“เศรษฐกิจโลก Q2/68 เผชิญความเสี่ยงสูงจากภาษีทรัมป์”

ดร.มิ่งขวัญ ทองพฤกษา Chief Economist บลจ.บัวหลวง กล่าวว่า เศรษฐกิจโลกในไตรมาส 2 ปี 2568 ยังคงเผชิญกับความเสี่ยงในระดับสูง โดยหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงสำคัญ ได้แก่ ความไม่แน่นอนด้านภูมิรัฐศาสตร์และนโยบายการค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบาย “Reciprocal Tariffs” ที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศเมื่อวันที่ 2 เม.ย. ที่ผ่านมา การดำเนินนโยบายดังกล่าวมีนัยสำคัญต่อทิศทางของตลาดการเงินและเศรษฐกิจมหภาคในภาพรวม ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน, ความคาดหวังของตลาดต่ออัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (GDP Growth), ทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบาย, การเคลื่อนไหวของตลาดทุน,อัตราแลกเปลี่ยนและกระแสเงินทุนระหว่างประเทศ

ทั้งนี้ เมื่อปัจจัยความเสี่ยงเชิงนโยบายมีอิทธิพลในระดับสูง ความแม่นยำของการจัดทำประมาณการเศรษฐกิจย่อมลดลงตามไปด้วย โดยประมาณการเดิมที่จัดทำขึ้นในช่วงเดือนเม.ย. ซึ่งสะท้อนแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก อาจต้องได้รับการทบทวนใหม่ อาทิเช่น ความคืบหน้าเพิ่มเติมในกระบวนการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศคู่ค้า อาทิ จีน และสหราชอาณาจักรส่งสัญญาณเชิงบวกเมื่อวันที่ 12 พ.ค. ที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม ความคืบหน้าในการเจรจายังไม่อาจตีความได้ว่า “ข้อตกลง” (Deal) ได้บรรลุผลในทางปฏิบัติ ความเสี่ยงจากประเด็นที่ยังไม่ข้อยุติยังคงมีอยู่ และมีศักยภาพที่จะสร้างแรงกระเพื่อมต่อตลาดการเงินได้อีกในอนาคต อันส่งผลให้อารมณ์ตลาดเกิดความผันผวนต่อเนื่องในลักษณะ “พลิกกลับไปมา” (Stop-and-go dynamic) ซึ่งคาดว่าจะดำรงอยู่ต่อไปภายใต้สภาวะแวดล้อมเศรษฐกิจมหภาคที่ยังไม่เสถียร

“ในบริบทเช่นนี้ นักลงทุนจำนวนมากอาจมีความลังเลที่จะดำเนินกลยุทธ์การลงทุนใหม่ อย่างไรก็ดี คำว่า “ความเสี่ยง” (Risk) มิได้สะท้อนเพียงด้านลบ หากแต่รวมถึงโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่เหนือกว่าด้วย ดังนั้น ความสามารถในการบริหารความเสี่ยงอย่างมืออาชีพ โดยเฉพาะจากผู้จัดการกองทุนหรือที่ปรึกษาการลงทุนที่มีความเชี่ยวชาญ จะเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยให้นักลงทุนสามารถตัดสินใจลงทุนได้อย่างมั่นใจมากยิ่งขึ้น แม้ในช่วงเวลาที่ตลาดยังขาดความชัดเจนโดยเฉพาะในประเด็นเรื่อง Geopolitics ที่สามารถเปลี่ยนหน้าไพ่ได้ตลอดเวลา”ดร.มิ่งขวัญ กล่าว

 

“แนะถือเงินสด 9-10% มองหุ้นไทยปีนี้ 1,250-1,300 จุด”

ด้านนายเมธา พีราวุฒิ Senior Vice President, Fund Management Group บลจ.บัวหลวง กล่าวว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาการเติบโตของเศรษฐกิจไทย (GDP) รายไตรมาสเติบโตไม่ถึง 1% ส่งผลให้กำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ไม่ได้เติบโตมากนัก ทำให้ดัชนีหุ้นไทย 10 ปีที่ผ่านมาไม่ไปไหนและธนาคารโลกยังคาดการณ์ปีนี้เศรษฐกิจไทยเติบโตต่ำสุดในอาเซียน และจะได้รับผลกระทบจากการเก็บภาษีนำเข้าของสหรัฐ จึงมองภาพรวมเศรษฐกิจไทยไม่ดีและการลงทุนต้องเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น

สำหรับผลกระทบจากสหรัฐฯ เก็บภาษีสินค้านำเข้าจากไทย กรณี base case ถูกเก็บในอัตรา 10-15% คาดจะส่งผลให้ GDP ไทยเติบโตต่ำเพียง 2% กดดันกำไรต่อหุ้น (EPS) ประมาณ 88-90 บาท ประเมินดัชนีหุ้นไทยอยู่ที่ 1,250 -1,300 จุดในสิ้นปี 2568 และ Downside ไม่น่าหลุด 1,000

นายเมธา กล่าวว่า ในมุมของผู้จัดการกองทุน โลกที่เปลี่ยนไป ความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นจึงต้องจัดพอร์ต เน้นเลือกบริษัทที่มีกระแสเงินสด (Cashflow) ที่ดี บริษัทที่ได้รับประโยชน์จากนโยบายของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือหุ้นที่ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลง และหุ้นที่ราคาปรับตัวลงมากจนเกินไปจากเทรดวอร์

“การจัดพอร์ตลงทุนเน้นถือเงินสด 9-10% เพื่อรอจังหวะในการทยอยซื้อ หลีกเลี่ยงกลุ่มส่งออกและอ่อนไหวต่อภาวะเศรษฐกิจ และเพิ่มลงทุนหุ้น Defensive มากขึ้น ซึ่งอาจไม่ใช่ลงทุนกลุ่มค้าปลีก โรงพยาบาล กลุ่มสาธารณูปโภค (Utilities) แต่โฟกัสบริษัทที่มีกระแสเงินสดเหลือจำนวนมาก ซึ่งเป็นปีที่เราให้ความสำคัญตรงนี้และเราให้น้ำหนักหุ้นพวกนี้พอสมควร”นายเมธา กล่าว

พร้อมระบุว่า จุดเด่นของตลาดหุ้นไทย ธุรกิจมีความมั่นคงมาก เชิงธุรกิจโมเดล กระแสเงินสด มีโอกาสสูงมากที่ตลาดหุ้นไทยจะมี positive surprise แต่อาจไม่ได้เกิดขึ้นเร็ว โดยกรณี positive surprise เช่นไทยเจรจาสหรัฐฯเก็บภาษีเหลือ 10% จาก 36% หุ้นก็อาจปรับตัวขึ้นได้ หรือไตรมาส 3-4 ตัวเลขส่งออกไม่ได้แย่กว่าที่คาด เพราะการส่งออกถูกเร่งในไตรมาส 1-2 ก่อนภาษีนำเข้ามีผลบังคับใช้ ก็อาจทำให้ตลาดหุ้นมี positive surprise ได้เช่นกัน ซึ่งมองว่าตอนนี้หุ้นใหญ่ซื้อขายในราคาที่เหมาะสมมากขึ้น

 

“กระจายลงทุนหุ้นโลก เลี่ยงธีมเฉพาะ AI -หุ้นกลางและเล็ก”

“การลงทุนต่างประเทศยังต้องใช้ความระมัดระวัง แม้ภาพรวมมองตลาดหุ้นยังดี แต่สตอรี่จะเปลี่ยนจากปีก่อนที่ลงกระจุกตัวได้ แต่ปีนี้ไม่สามารถเน้นที่ประเทศใดประเทศหนึ่ง ต้องกระจายการลงทุนมากขึ้นและแนะนำลดความเสี่ยงจากการลงทุนในกองทุน Thematic Fund ที่เน้นลงทุนเฉพาะธีม AI หรือธีมหุ้นขนาดกลางและเล็กที่มีความหวือหวา แต่ควรเน้น Core Port เน้นหุ้นใหญ่เป็นหลัก”นายดนัย อรุณกิตติชัย CFA Assistant Managing Director, Fund Management บลจ.บัวหลวง กล่าวว่า

สำหรับการลงทุนแบบ Core Port ที่เป็นพอร์ตหลักแนะนำลงทุนในหุ้นโลก ลดน้ำหนักหุ้นสหรัฐฯ และหุ้นเทคสหรัฐฯ ลงบ้างโดยเพิ่มน้ำหนักหุ้นเทคจีน โดยสัดส่วนพอร์ตประมาณ 60-70% ส่วน Satellite port เพื่อหาจังหวะโอกาสในการลงทุนระยะสั้นเพื่อสร้างผลตอบแทน แนะนำหุ้นอินเดียและจีน ส่วนหุ้นเวียดนามสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง เนื่องจากตลาดผันผวนสูง รวมทั้งลงทุนทองคำ 5-10% เพื่อลดความเสี่ยงของพอร์ต ส่วนเงินสดแนะนำถือ 15-20% เพราะความเสี่ยงยังมีอยู่ เพื่อพักเงินและรอจังหวะเข้าลงทุนเมื่อตลาดย่อตัว ส่วนตราสารหนี้ยังน่าสนใจ จากดอกเบี้ยที่สูงและโอกาสที่ดอกเบี้ยจะปรับลงมีมากขึ้น

กองทุนแนะนำ ได้แก่ B-GLOBAL เน้นลงทุนหุ้นคุณภาพทั่วโลกกระจายหลากหลายอุตสาหกรรม, B-INNOTECH เน่นลงทุนในหลากหลายธีมในกลุ่มเทคโนโลยีและอินโนเวั่น, B-DYNAMIC BOND เพิ่มความยืดหยุ่นให้กับการลงทุนผ่านตราสารหนี้ทั่วโลกและ B-ST กองทุนมันนี่มาร์เก็ต เพื่อลดทอนความเสี่ยงจากเงินเฟ้อและภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว