ธปท.พร้อมลดดบ.หากจำเป็น ผู้ว่าฯชี้แนะ ‘ดิจิทัล วอลเล็ต’ ตรงเป้า

HoonSmart.com>>แบงก์ชาติประกาศกนง.พร้อมทบทวนนโยบายดอกเบี้ย หากมีข้อมูลใหม่กระทบเศรษฐกิจ ยันอัตราปัจจุบันยังเหมาะสม ส่วนค่าเงินบาทอ่อนยวบแตะ 37 บาท/ดอลลาร์แย่กว่าสกุลอื่น ในบ้านเราเจอส่งเงินปันผลกลับต่างประเทศ 2 พันล้าน ต่างชาติไม่มาเที่ยวไทยเจออากาศร้อน ด้านผู้ว่าธปท.ทำหนังสือเสนอความเห็นครม.โครงการดิจิทัลวอลเล็ต 1หมื่นบาท แจกเฉพาะกลุ่มเปราะบาง ใช้เงินน้อย กระตุ้นเศรษฐกิจได้ชัวร์ หุ้นไทยบวก 3 จุดทิ้งห่างภูมิภาค ขายแบงก์กลัวบีบลดดอกเบี้ย

นายปิติ ดิษยทัต ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และเลขานุการคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เปิดเผยว่า กนง. พร้อมที่จะทบทวนนโยบายอัตราดอกเบี้ย หากมีข้อมูลใหม่เข้ามาเพิ่มเติม และส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงต่อมุมมองเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ โดยยืนยันว่าไม่ได้ยึดติดในเรื่องดอกเบี้ย เพียงแต่จะต้องพิจารณาผลกระทบ ความยั่งยืน และนัยต่อกรอบการทำนโยบายว่าเพียงพอหรือไม่ พยายามจะดูแลให้เศรษฐกิจในภาพรวมอยู่ในจุดที่พอดี

” ที่เราคุยกัน อัตราบวกลบ 0.25% ไม่ได้ต่างกันมาก คงไม่ใช่การลดดอกเบี้ยเยอะๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในตอนนี้ เรายังมีเวลาพิจารณาให้มั่นใจ เพราะยังมีปัจจัยทั้ง upside และ downside สิ่งที่นโยบายการเงินคาดหวังว่าจะเข้าไปช่วยได้ คือ การดูแลเศรษฐกิจในระยะปานกลาง ไม่ใช่ทันทีหรือในระยะสั้น เหมือนเรือใหญ่ เมื่อจะหันซ้าย หรือหันขวาจะช้ามาก มีโมเมนตัมของตัวเองค่อนข้างเยอะจะไม่สามารถช่วยได้ทันที ไม่ใช่ระยะสั้น” นายปิติ กล่าว

ส่วนเงินบาทที่อ่อนค่าไปแตะระดับ 37 บาท/ดอลลาร์ นั้นยอมรับว่า ค่าเงินบาทมีความผันผวนและอ่อนค่านำสกุลเงินอื่นในภูมิภาค ซึ่ง ธปท.จับตาอยู่ แต่ยังไม่ต้องทำอะไรเพราะไม่ต้องการเห็นตลาดทำงานไม่ปกติ เช่น เกิดภาวะชะงักงัน หรือสภาพคล่องลดลง

สาเหตุที่ทำให้เงินบาทอ่อน มาจากปัจจัยต่างประเทศ คือ การคงนโยบายการเงินในระดับปัจจุบันของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ยาวนานขึ้น ส่วนปัจจัยในประเทศ ในช่วงไตรมาส 2 นี้ มีการส่งเงินปันผลกลับบริษัทต่างประเทศถึง 2,000 ล้านบาท และนักท่องเที่ยวอาจจะเดินทางมาไทยลดลงเนื่องจากสภาพอากาศที่ร้อนจัด มีผลต่อดุลบัญชีเดินสะพัดในไตรมาส 2

นายปิติ ยังกล่าวถึงโครงการแจกเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัล วอลเล็ตของรัฐบาล ที่จะใช้สภาพคล่องธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กว่า 1.7 แสนล้านบาทว่า ธปท.แค่กำกับดูแล ธ.ก.ส. แต่ไม่ได้มีอำนาจในการตัดสินใจว่าควรทำหรือไม่ควรทำ โดยต้องรอสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตีความว่าสามารถใช้มาตรา 28 แห่ง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง กับโครงการนี้ได้หรือไม่ และคณะกรรมการ ธ.ก.ส.ดำเนินการอย่างไรต่อไป

“ธปท.ไม่ขัดข้อง กับการที่รัฐบาลมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่เป็นเรื่องรูปแบบ รายละเอียดว่าอยากให้ช่วยแบบเจาะจง ช่วยคนที่มีความยากลำบากจริง เพื่อให้คุ้มค่าเม็ดเงิน ถ้าช่วยคนที่ขาดจะมีแรงกระตุ้นสูง อยากให้เป็นกลุ่มเป้าหมายเจาะจง เพื่อให้ยั่งยืน และคุ้มค่างบประมาณ  ” นายปิติ กล่าว

รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาล กล่าวว่า โครงการเงินดิจิทัลวอลเล็ต ที่ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 23 เม.ย.2567 นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการ ธปท. ได้ทำหนังสือถึงสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ลงวันที่ 22 เม.ย.2567 เพื่อเสนอเป็นความเห็นประกอบการพิจารณาในครม. มีเนื้อหาความเห็นบางส่วน ธปท.มีความต้องการให้ใช้เงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท เฉพาะกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการความช่วยเหลือเท่านั้น เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระค่าครองชีพ ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ อย่างมีประสิทธิผลคุ้มค่า และใช้งบประมาณลดลง

“ควรแจกเฉพาะกลุ่มเปราะบางที่รายได้ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ เช่น กลุ่มผู้มีรายได้น้อย หรือผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 15 ล้านคน ซึ่งสามารถดำเนินการได้ทันที และใช้งบ 1.5 แสนล้านบาท ซึ่งกลุ่มรายได้น้อยมีสัดส่วนการใช้จ่ายเพื่อบริโภคสูงกว่ากลุ่ม รายได้อื่น และมักซื้อสินค้าที่ผลิตในประเทศมากกว่าสินค้านำเข้า และควรพิจารณาดำเนินโครงการแบบแบ่งเป็นระยะ เพื่อลดผลกระทบต่อเสถียรภาพการคลัง และรัฐบาลควรพิจารณาถึงความคุ้มค่าของการนำงบประมาณ 5 แสนล้านบาท ไปใช้ลงทุนในโครงการที่จะแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง และยกระดับศักยภาพของประเทศในระยะยาว เช่น โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน 1.9 แสนล้านบาทต่อสาย จะพัฒนาได้กว่า 2 สาย”

นอกจากนี้ ธปท.เผยแพร่รายงานการประชุมกนง. เมื่อวันที่ 10 เม.ย.2567 ที่มีมติ 5 ต่อ 2 เสียง ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.50% คณะกรรมการฯ ส่วนใหญ่ ประเมินว่าดอกเบี้ยในปัจจุบันยังสอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ รวมทั้งเอื้อต่อการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินในระยะยาว

อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจไทยยังมีความไม่แน่นอนโดยเฉพาะการฟื้นตัวของภาคการส่งออก รวมทั้งผลของการเบิกจ่ายงบประมาณและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ คณะกรรมการฯ จะติดตามพัฒนาการดังกล่าวและพิจารณานโยบายการเงินให้เหมาะสมกับแนวโน้มเศรษฐกิจและเงินเฟ้อในระยะข้างหน้า

สำหรับประมาณการเศรษฐกิจในปี  2567 มีแนวโน้มขยายตัว 2.6% ส่วนปี 2568 ขยายตัว 3.0% โดยมีปัจจัยสนับสนุนจาก (1) ภาคการท่องเที่ยวที่ดีขึ้น สะท้อนจากจำนวนนักท่องเที่ยว อยู่ที่ 35.5 ล้านคน และ 39.5 ล้านคนในปีหน้า (2) การบริโภคภาคเอกชน มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องที่ 3.5% (3) การใช้จ่ายภาครัฐที่จะกลับมาเพิ่มขึ้นในช่วงที่เหลือของปี หลังจากลดลงมากในช่วงก่อนหน้า ในขณะที่ภาคการส่งออกและการผลิต มีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปในช่วงครึ่งหลังของปี

คณะกรรมการฯ พร้อมที่จะปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย หากพัฒนาการเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการฟื้นตัวของการส่งออก และการใช้จ่ายและมาตรการของภาครัฐเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) วันที่ 30 เม.ย.-1 พ.ค. 2567 คาดเฟดคงดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 5.25-5.50% อย่างต่อเนื่อง  และปีนี้จะปรับลดดอกเบี้ยน้อยกว่าที่ได้ส่งสัญญาณไว้  ตลาดมองเฟดอาจเริ่มปรับลดดอกเบี้ยในเดือนก.ย. 2567 จากที่เคยมองไว้ในเดือนมิ.ย.  และเฟดอาจปรับลดดอกเบี้ยนโยบายเพียง 2 ครั้ง น้อยกว่า 3 ครั้งที่เฟดเคยส่งสัญญาณไว้ผ่านคาดการณ์แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) ในการประชุมเดือนมี.ค. 2567

ด้านตลาดหุ้นไทยปิดที่ระดับ 1,361.10 จุด เพิ่มขึ้น 3.64 จุดหรือเพียง 0.27%น้อยกว่าตลาดหุ้นเอเชียที่ปรับตัวขึ้นแรงหลายแห่ง  นำโดยญี่ปุ่นพุ่งขึ้น +2.42% ฮ่องกง +2.21% เกาหลีใต้ +2.01% จีน +0.76%  เกิดจากต่างประเทศพลิกกลับมาขาย 456  ล้านบาท  สถาบันขาย 132.90 ล้านบาท นำโดยกลุ่มธนาคารพาณิชย์หลังจากนายกฯได้เชิญผู้บริหาร 4 แบงก์ใหญ่ให้พิจารณาปรับลดดอกเบี้ยให้กับกลุ่มเปราะบาง เกรงว่าจะส่งผลกระทบต่อกำไรในช่วงที่เหลือของปีนี้ จากไตรมาสแรกรายได้หลักลดลงตามส่วนต่างดอกเบี้ยสุทธิ

นายสรพล วีระเมธีกุล ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า หุ้นปรับตัวขึ้นมาราว 2-3% แล้วนับจาก 1,330 จุด และขึ้นมาชนแนวต้าน 1,365 จุด แต่ยังไม่ผ่าน มองว่าตลาดคงจะแกว่งแถวนี้ไปอีกระยะ ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียวันนี้เคลื่อนไหวในแดนบวกได้เป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะตลาดแถบเอเชียเหนือบวกได้ดี ส่วนตลาดในยุโรปเทรดบ่ายนี้ปรับตัวขึ้นได้ราว 0.3-0.5% คลายความกังวลสถานการณ์ตะวันออกกลางที่ไม่ปะทุความรุนแรง

พร้อมให้ติดตามตัวเลขการจ้างงานในสัปดาห์หน้า หลังจากที่น้ำหนักการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อยู่ที่ 2 ครั้ง จากเดิม 3 ครั้ง และติดตามการทยอยรายงานงบฯของบริษัทในสหรัฐ โดยเฉพาะกลุ่มเทคโนโลยี ส่วนในประเทศก็ให้ติดตามการทยอยประกาศงบฯของบริษัทในกลุ่มพลังงานที่จะทยอยออกมาในสัปดาห์หน้า

แนวโน้มการลงทุนในวันพรุ่งนี้ (25 เม.ย.) ตลาดคงจะเคลื่อนไหว Sideway Down ในลักษณะของการพักฐาน โดยมีแนวรับ 1,330 จุด แนวต้าน 1,365 จุด