ชวนช้อปหุ้นจ่อทะยาน รัฐเร่งอัดฉีดศก. วอนแบงก์ลดดบ. ลุย Digital Wallet

HoonSmart.com>>รัฐบาลกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น นายกฯเชิญ 4 แบงก์ใหญ่คุยลดดอกเบี้ยกลุ่มเปราะบางเช้าวันนี้  ที่ประชุม ครม. ทุกพรรคร่วมรัฐบาลเห็นชอบโครงการ Digital Wallet คาดเงินเริ่มออกใช้ไตรมาส 4 หนุนธุรกิจสินค้าอุปโภค-ค้าปลีก-ไฟแนนซ์ ด้านบล.เอเชียพลัสเชื่อหุ้นไทยลงต่ำสุดแล้วสบโอกาสทยอยเก็บหุ้น CK, SCCC, MTC, BJC, KBANK, PTTGC, BGRIM  ดัชนีปิดบวกต่อ 7.94 จุด ต่างชาติซื้อกว่า 2 พันล้านบาท  ความขัดแย้งตะวันออกกลางผ่อนคลาย 

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง เปิดเผยว่า เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา (23 เม.ย.2567) ได้เชิญธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย และธนาคารไทยพาณิชย์ เข้ามาพูดคุยปัญหาเศรษฐกิจทั่วๆไป และได้บอกว่าสถาบันการเงินมีความแข็งแกร่งมาก เห็นได้จากผลประกอบการที่ออกมา จึงขอร้องด้วยการพูดคุยในลักษณะคนที่รู้จักกันมา 20 ปี ให้ทั้ง 4 ธนาคารช่วยพิจารณาดูแลเรื่องดอกเบี้ยให้กับกลุ่มเปราะบางไม่ว่าจะเป็นเอสเอ็มอีหรือรายย่อย ซึ่งทั้ง 4 ธนาคารรับปากและจะไปพิจารณา แต่ไม่ได้กำหนดระยะเวลาว่าต้องให้คำตอบเมื่อไร

“อยากให้ทุกท่านเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันและอยากให้พิจารณาดูว่า ช่วยเหลือได้มากน้อยแค่ไหนอย่างไร แต่ไม่ได้กำหนดวลาว่าต้องให้คำตอบเมื่อไร ถือเป็นเรื่องที่ให้เกียรติกัน คงไม่ได้ไปกดดันอะไร และบรรยากาศในการพูดคุยเป็นไปด้วยดี”นายเศรษฐา กล่าว

นอกจากนี้ นายเศรษฐา แถลงภายหลังการประชุม ครม.กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) รับทราบผลการรวบรวมข้อมูล ข้อเท็จจริง และความเห็นของคณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเติมเงิน 1 หมื่นบาท ผ่านดิจิทัล วอลเล็ต (Digital Wallet)โดยเห็นชอบหลักการโครงการแล้ว ทั้งเรื่องกลุ่มเป้าหมายที่จะเข้าร่วมโครงการ แนวทางการเข้าร่วมโครงการของประชาชน เงื่อนไขการใช้จ่าย ประเภทสินค้า การลงทะเบียนร้านค้า รวมถึงแหล่งเงิน และการดำเนินโครงการ ซึ่งกระทรวงการคลัง ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และสำนักงบประมาณ จะศึกษาในรายละเอียดต่อไป

ส่วนข้อห่วงใย เช่น ประเด็นอำนาจหน้าที่ของ ธ.ก.ส. นั้น ที่ประชุม ครม.เห็นว่าหากมีประเด็นข้อสงสัยใดๆ ให้ส่งเรื่องไปสอบถามยังคณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งทุกพรรคร่วมรัฐบาลต่างเห็นชอบในหลักการของโครงการเติมเงินดิจิทัลวอลเล็ต”

นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง กล่าวว่า รัฐบาลยังยืนยันกำหนดเวลาในกรอบเดิมคือ เริ่มลงทะเบียนในไตรมาส 3 และเปิดให้ใช้จ่ายได้ในไตรมาส 4  แต่ยังไม่กำหนดวันที่แน่นอน เนื่องจากต้องขึ้นอยู่กับการพัฒนาระบบโดยเฉพาะเสถียรภาพของแอปพลิเคชัน ตลอดจนในเรื่องความมั่นคง ปลอดภัยของข้อมูล

ส่วนการดำเนินการผ่าน ธ.ก.ส.นั้น เป็นกระบวนการตามมาตรา 28 ของพ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง เป็นกระบวนการงบประมาณประเภทหนึ่ง หรือเป็นการดำเนินการตามนโยบายกึ่งการคลัง ซึ่งจะเริ่มดำเนินการได้ตามกรอบของมาตรา 28 ประมาณ ต.ค.2567

นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล เลขานุการ รมว.คลัง กล่าวว่า เรื่องแอปฯ ไม่มีปัญหา โดยจะแบ่งเป็น 2 ระบบ คือ ระบบการลงทะเบียน และระบบ Transaction ซึ่งทั้ง 2 ระบบมีการพัฒนา และอยู่ในกรอบที่กำหนดไว้ คือ จะเปิดให้มีการลงทะเบียนในไตรมาส 3  และประชาชนจะได้รับเงินในไตรมาส 4

บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ประเมินการโยกงบประมาณมาใช้ในโครงการ Digital Wallet จะเป็นปัจจัยบวกให้กับตลาดหุ้นในไตรมาสที่ 2 โดยเฉพาะกลุ่มค้าปลีก อาหารเครื่องดื่ม สินค้าอุปโภคบริโภค และไฟแนนซ์ เช่น CPALL, BJC, CPAXT, MBK, ICHI, OSP, SINGER เป็นต้น

บล.กรุงศรี พัฒนสินมองหนุนกำลังซื้อนับจากไตรมาสที่ 4 นี้เป็นต้นไป ดีต่อภาคบริการและเศรษฐกิจ เปิด Upside ตลาดระยะถัดไป เน้นหุ้น อุปโภคบริโภคได้แก่ CPALL,CPAXT, BJC,OSP

บล.เอเซีย พลัส (ASP) โดยนายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย กล่าวว่า การลงทุนในไตรมาส 2/2567  มีโอกาสผ่านพ้นจุดต่ำสุด  ให้แนวรับสำคัญที่ 1,350 จุดเป็นระดับที่ต่ำสุดแล้ว และเริ่มเห็นแรงหนุนที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจและการลงทุนไทย โดยมองกรอบแนวต้านที่ 1,450 จุด

กลยุทธ์การลงทุนแนะนำ ดัชนี SET บริเวณ 1,350 จุด มี Valuation ที่น่าสนใจควร “ทยอยซื้อ” ฟื้นตามเศรษฐกิจ ได้แก่ CK, SCCC, MTC,BJC, KBANK  ส่วนหุ้นกำไรไตรมาส 2 เด่น คือ PTTGC,BGRIM

นายเทิดศักดิ์มองว่าแรงหนุนเศรษฐกิจไทยมีหลายปัจจัย  อาทิ การเข้มข้นผ่านการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณปี 67 ภายในเพียง 5-6 เดือน ด้วยมูลค่า 3.48 ล้านล้านบาท สูงกว่าปีก่อน 9.3% น่าจะเบิกจ่ายได้อย่างช้าต้นเดือนพ.ค. และน่าจะเห็นการกลับมาลงทุนของภาครัฐมากขึ้น นอกจากนี้ ความคาดหวังโอกาสลดดอกเบี้ยในปีนี้ 1 ครั้ง จะเกิดขึ้นในเดือนรอบ มิ.ย.  แม้ดอกเบี้ยสหรัฐฯ อาจจะคงไว้ 5.5% ยาวนานขึ้น  จากสถิติหลังกนง.ลดดอกเบี้ยตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวขึ้นในช่วง 1-2 เดือนถัดมารวมถึงมาตรการกระตุ้นต่างๆ ของภาครัฐ ทั้งการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท, มาตรการฟรีวีซ่านักท่องเที่ยว และการแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ในระยะถัดไป

นอกจากนี้ยังมีแรงหนุนจากการลงทุนภาคเอกชน ซึ่งปัจจุบันมีโครงการที่อยู่ในการพิจารณาของ คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ประมาณ 8.48 แสนล้านบาท ซึ่งภายใน 6 เดือนน่าจะสามารถมีการอนุมัติและออกบัตรส่งเสริมการลงทุนได้และน่าจะเห็นเม็ดเงินลงทุนที่เข้ามาภายใน 1-2 ปี

ขณะที่บรรยากาศการลงทุนตลาดหุ้นไทยยังได้แรงผลักดันจากกำไรบริษัทจดทะเบียนงวดไตรมาส 1/67 ที่มีโอกาสเติบโตจากไตรมาส 4ที่ผ่านมา (QoQ) เด่น จากฐานกำไรที่ต่ำกว่าปกติ และมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน หลังเงินบาทอ่อนค่าแรงกว่า 7%  ซึ่งหุ้นที่ได้ประโยชน์จากเงินบาทอ่อนค่ามีสัดส่วนมาร์เก็ตแคปกว่า 40% รวมถึงราคาน้ำมันดิบโลกปรับขึ้นแรงเกิน 15% ทำให้เกิด Stock Gain

สำหรับทิศทางเงินไหลเข้า(ฟันด์โฟลด์) ปัจจบันเม็ดเงินลงทุนต่างชาติอยู่ในระดับที่ต่ำมากผิดปกติ ซึ่งเริ่มเห็นแรงซื้อกลับมาตั้งแต่ ไตรมาส 1 ตามกำไรของบริษัทจดทะเบียนและเศรษฐกิจโต  มองว่าแรงขายน่าจะหมดแล้ว ส่วนเงินบาทไม่น่าจะอ่อนค่าไปมากกว่า 37 บาทต่อดอลลาร์ จึงเป็นไปได้ที่เม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติจะไหลกลับเข้ามาในช่วงนี้

ด้านตลาดหุ้นวันนี้ (23 เม.ย.67) ดัชนีปรับตัวขึ้นต่อปิดที่ระดับ 1,357.46 จุด บวก 7.94 บาทหรือ+0.59% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 46,622.77 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างประเทศซื้อสุทธิ 2,231.91 ล้านบาท สถาบันไทยซื้อต่อ 1,470 ล้านบาท ส่วนนักลงทุนไทยขายทำกำไร 3,616  ล้านบาท

นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล, CISA ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า หุ้นวันนี้รีบาวด์เช่นเดียวกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย คลายกังวลสงครามอิสราเอล-อิหร่านที่ไม่มีความรุนแรงขึ้นอีก แต่ตลาดได้แรงถ่วงจากหุ้นในกลุ่มธนาคาร หลังนายกฯอยากให้ธนาคารปรับลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งสะท้อนความสามารถทำกำไรของธนาคาร และความเสี่ยงการกำกับดูแล

อย่างไรก็ดี ให้ติดตามตัวเลข PMI ของสหรัฐคืนนี้ และตัวเลข GDP ไตรมาส 1/67 ที่จะออกมาในวันที่ 25 เม.ย. และตัวเลข PCE ของสหรัฐที่จะออกมาในวันที่ 26 เม.ย.นี้

แนวโน้มการลงทุนในวันพรุ่งนี้ (24 เม.ย.) ตลาดจะเคลื่อนไหวไซด์เวย์รอปัจจัยใหม่ โดยให้แนวรับ 1,350-1,355 จุด แนวต้าน 1,365 จุด