SCGD พลิกกำไร Q1/67 แตะ 257 ลบ. ต้นทุนลดลง ยอดขายในประเทศแกร่ง

HoonSmart.com>> เอสซีจี เดคคอร์ (SCGD) เปิดกำไรไตรมาส 1/67 จำนวน 257 ล้านบาท พลิกจากงวดปีก่อนขาดทุน 182 ล้านบาท รับผลบวกโครงการลดต้นทุน พร้อมปรับ Portfolio ขายสินค้า หนุนคงราคาขายได้ดี ด้านตลาดกระเบื้องในประเทศแข็งแกร่ง ส่วนเวียดนามมีวันหยุดยาวปีใหม่ ด้านฟิลิปปินส์-อินโดนีเซียกำลังซื้ออ่อนตัว ฉุดรายได้จากการขายลดลง 6% เมื่อเทียบรายได้จากการขายที่ไม่รวมผลกระทบจากการปรับโครงสร้าง

บริษัท เอสซีจี เดคคอร์ (SCGD) เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2567 พลิกมีกำไรสุทธิ 257.37 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.16 บาท เพิ่มขึ้น 294% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนขาดทุนสุทธิ 182.31 ล้านบาท ขาดทุนต่อหุ้น 1.86 บาท

บริษัทฯ มีรายได้จากการขายในจำนวน 6,784 ล้านบาท ลดลง 6% เมื่อเทียบกับรายได้จากการขายที่ไม่รวมผลกระทบจากการปรับโครงสร้างของช่วงเดียวกันของปีก่อนและทรงตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่กำไรส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 258 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28% และ 44% เมื่อเทียบกับรายได้จากการขายที่ไม่รวมผลกระทบจากการปรับโครงสร้าง และรายการ Non-Recurring อื่นๆ ของช่วงเดียวกันของปีก่อน และไตรมาสก่อน ตามลําดับ

รายได้ลดลงเป็นผลจากกำลังซื้อทั้งในไทยและต่างประเทศยังไม่ฟื้นตัว โดยจำนวนของบ้านใหม่ที่สร้างเสร็จแล้วในประเทศไทยยังอยู่ในระดับสูง ในขณะที่ประเทศเวียดนามยังคงอยู่ระหว่างการรอให้กฎหมายที่ดินฉบับใหม่ซึ่งได้รับอนุมัติเมื่อต้นปี 2567 มีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ม.ค.2568 โดยปัจจุบัน กระทรวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของประเทศเวียดนามอยู่ระหว่างออกกฎระเบียบโดยละเอียด เพื่อเสริมสร้างการปฏิรูปกระบวนการบริหารที่เกี่ยวข้องกับที่ดิน และจัดทําฐานข้อมูลที่ดินระดับชาติที่สอดคล้องกัน

นอกจากนี้ในไตรมาส 1/2567 รายได้จากการขายในประเทศไทยยังคงแข็งแกร่ง แต่ประเทศเวียดนามมีเทศกาลวันหยุดยาวปีใหม่ (เทศกาล TET) ดังนั้น บริษัทฯ จึงมีรายได้จากการขายทรงตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน ส่วนในประเทศฟิลิปปินส์ และประเทศอินโดนีเซียยังคงมีกําลังซื้อที่อ่อนตัว

ทั้งนี้ ยอดขายหลักมาจากธุรกิจตกแต่งพื้นผิว และอื่นๆ และธุรกิจสุขภัณฑ์ในประเทศไทยมากกว่าครึ่ง ส่วนที่เหลือมาจากประเทศเวียดนาม ประเทศฟิลิปปินส์ และประเทศอินโดนีเซีย

อย่างไรก็ตาม ด้วยความมุ่งมั่นในการพัฒนาและปรับตัวอย่างต่อเนื่อง ผ่านการพัฒนาสินค้าใหม่ การสร้างมูลค่าเพิ่มของสินค้าและบริการ ผ่านนวัตกรรมและโซลูชันเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และการปรับ Portfolio การขายสินค้า ส่งผลให้บริษัทฯ สามารถคงราคาขายกระเบื้องเซรามิก และสุขภัณฑ์ได้ใกล้เคียงกับไตรมาสก่อน นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้ดําเนินการลงทุนในโครงการลดต้นทุน และปรับปรุงประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับต้นทุนพลังงานได้ปรับตัวดีขึ้น ส่งผลให้บริษัทฯ สามารถเพิ่มความสามารถในการทํากําไรได้ดีขึ้น

บริษัทฯมี EBITDA จำนวน 854 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% และเพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบกับ EBITDA ที่ไม่รวมผลกระทบจากการปรับโครงสร้าง และรายการ Non-Recurring อื่นๆ ของช่วงเดียวกันของปีก่อน และไตรมาสก่อนตามลําดับ เนื่องจากผลของโครงการลงทุนเพื่อลดต้นทุน และปรับปรุงประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง รวมถึงต้นทุนพลังงานได้ปรับตัวดีขึ้น ซึ่งคิดเป็น EBITDA Margin ที่ 13% ขณะที่ EBITDA Margin ของไตรมาสที่ 1/2566 และไตรมาส 4/2566 อยู่ที่ 12%