CREDIT กำไร 449 ลบ.ลดลง 51% ขาดทุนด้านเครดิต ตั้งสำรองเพิ่ม

HoonSmart.com>> ธนาคารไทยเครดิต (CREDIT) กำไรไตรมาส 1/67 จำนวน 449 ล้านบาท ลดลง 51.5% จากช่วงเดียวกันปีก่อน เหตุตั้งผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะสูงขึ้นพุ่ง 112.1% พร้อมตั้งสำรองเพิ่ม 2.3% รับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ ด้านรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น 15.6% หนี้ NPL ขับขึ้นแตะ 4.5% จาก 4.2% สิ้นปี 66

ธนาคารไทยเครดิต (CREDIT) เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2567 มีกำไรสุทธิ 449.58 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.37 บาท ลดลง 51.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 926.86 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.80 บาท

ไตรมาส 1 ปี 2567 ธนาคารมีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น 15.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ปัจจัยหลักจากเงินให้สินเชื่อที่ยังเติบโต แต่กำไรสุทธิส่วนที่เป็นของธนาคารลดลง 51.5% สาเหตุหลักจากผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นเพิ่มสูงขึ้น นอกจากนี้ธนาคารยังมีการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ โดยมีอัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอื่นๆ ต่อรายได้จากการดำเนินงานของธนาคารอยู่ในระดับต่ำที่ 37.6% ณ ไตรมาส 1 ปี 2567

ทั้งนี้ อัตราส่วนต่างดอกเบี้ยสุทธิของธนาคารยังแข็งแกร่งอยู่ที่ 8.7% ลดลงเล็กน้อยจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของต้นทุนทางการเงินถัวเฉลี่ยของธนาคาร สอดคล้องการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธปท. อย่างไรก็ตามธนาคารและบริษัทย่อยตั้งค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตสำหรับเงินให้สินเชื่อที่คาดว่าจะเกิดขึ้น เพิ่มขึ้น 2.3% เนื่องจากนโยบายการดำเนินงานอย่างรัดกุม เพื่อรองรับความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต

ธนาคารมีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิจำนวน 3,517.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอื่นๆ เพิ่มขึ้น 18.6% จากเดิม 1,123.0 ล้านบาทในไตรมาส 1 ปี 2566 เป็น 1,331.4 ล้านบาท ในไตรมาส 1 ปี 2567 โดยมีสาเหตุหลักมาจากค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงานที่เพิ่มขึ้น 131.3 ล้านบาท หรือ 16.9% สอดคล้องกับการขยายสาขาเงินฝากและเพิ่มจำนวนพนักงาน RM เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการให้บริการสินเชื่อ ให้สามารถเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับอาคารและอุปกรณ์เพิ่มขึ้น 28.7 ล้านบาท โดยเป็นผลมาจากการลงทุนพัฒนาในระบบและอุปกรณ์สารสนเทศ เพื่อปรับปรุงระบบการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นอย่าวต่อเนื่อง

ธนาคารตั้งผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจำนวน 1,643.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 112.1% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 774.7 ล้านบาทในไตรมาส 1 ปี 2566 ซึ่งสอดคล้องกับกำรเติบโตของเงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้ และการเพิ่มขึ้นของเงินให้สินเชื่อจัดชั้นที่ 2 ตามมาตรกำรช่วยเหลือลูกหนี้จาก ธปท. ตามการคาดการณ์ของธนาคาร ทั้งนี้ ธนาคารมีสินเชื่อ ณ ไตรมาส 1 ปี 2567 จำนวน 147,613.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.4%

ส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นสำหรับเงินให้สินเชื่อมีจำนวน 10,098.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 225.1 ล้านบาทหรือ 2.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งสอดคล้องกับการเติบโตของเงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้และการเพิ่มขึ้นของเงินให้สินเชื่อจัดชั้นที่ 2 ตามมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้จากธปท. ตามการคาดการณ์ของธนาคาร อย่างไรก็ตามอัตราส่วนค่าผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพเท่ากับ 153.1% ลดลงเล็กน้อยจาก 161.4% ณ วันที่31 ธ.ค. 2566

ด้านสินเชื่อด้อยคุณภาพก่อนหักค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (gross NPLs) เพิ่มขึ้น 7.8% จากเดิม 6,115.6 ล้านบาท ณ วันที่ 31 ธ.ค.2566 เป็น 6,594.6 ล้านบาท ณ วันที่ 31 มี.ค.2567 และอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพหักค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (gross NPLs ratio) เพิ่มขึ้นจากเดิม 4.2% ณ วันที่ 31 ธ.ค.2566 เป็น 4.5% ณ วันที่ 31 มี.ค.2567 ตามการคาดกาณ์ของธนาคาร ซึ่งยังอยู่ในเกณฑ์ที่บริหารจัดการได้ โดยมีสำเหตุหลักมาจากาตรการช่วยเหลือลูกหนี้จาก ธปท. เริ่มหมดโครงการลง ส่งผลให้สินเชื่อด้อยคุณภาพมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น รวมถึงสภาวะเศรษฐกิจในภาพรวมที่ยังคงไม่แน่นอนจากปัจจัยมหภาค (Macroeconomic) ที่อาจจะส่งผลกระทบต่อคุณภาพสินเชื่อและความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ธนาคารฯ เช่นปัจจัยเงินเฟ้อที่ยังคงสูงต่อเนื่อง ความขัดแย้งทางภูมิศาสตร์จากสงครามอิหร่านและอิสราเอล แนวโน้มเศรษฐกิจไทยที่คาดว่าฟื้นตัวช้า