KKP แจ้ง Q1/67 กำไรเพียง1.51 พันลบ. ตั้งสำรองแค่ 609 ล้านบ. รายได้ลด

HoonSmart.com>>ธนาคารเกียรตินาคินภัทร (KKP) เปิดผลงานไตรมาส 1/67 มีกำไรสุทธิ 1,506 ล้านบาท ลดลง 27.8% จากช่วงเดียวกันปีก่อน แต่เพิ่มขึ้น 124.9% จากไตรมาส 4 ปีที่ผ่านมา จากผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นเพียง 609 ล้านบาท ลดลง 57.4% เผยตั้งสำรองลูกหนี้รายใหญ่รายหนึ่งครบแล้วปลายปีก่อน 

ธนาคารเกียรตินาคินภัทร (KKP) เปิดเผยผลงานงวดไตรมาส 1/2567 มีกำไรสุทธิ 1,506 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 1.78 บาท ลดลง 27.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 2,085 ล้านบาทหรือ 2.46 บาทต่อหุ้น แต่หากเทียบกับไตรมาส 4/2566 กำไรเพิ่มขึ้น 124.9%
โดยหลักจากการปรับลดลงอย่างต่อเนื่องของผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น ที่ตั้งสำรองเพียง 609 ล้านบาท ลดลง 57.4% จากไตรมาส 4/256 ที่ตั้งไว้ 1,429 ล้านบาท และลดลง 44.5% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 1,097  ล้านบาท

นอกจากนี้มีการโอนกลับรายการขาดทุนจากการปรับมูลค่าทรัพย์สินรอการขายเป็นจำนวน 619 ล้านบาท ระหว่างไตรมาส 1/2567 จากการที่ธนาคารได้มีการปรับประมาณการค่าเผื่อการปรับมูลค่าทรัพย์สินรอการขาย เพื่อให้เป็นไปตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เรื่องอสังหาริมทรัพย์รอการขาย

ส่วนรายได้จากการดำเนินงานรวมทำได้จำนวน 6,832 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อย 1.6% จากไตรมาส 1/2566 โดยรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ 5,253 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 0.6% จากช่วงเดียวกันปีก่อนแต่ลดลง 5.6% จากไตรมาส 4 ที่ผ่านมา ในขณะที่รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ย 1,579 ล้านบาท  ลดลง 8.1%จากช่วงเดียวกันปีก่อน ตามภาวะทางด้านตลาดทุนที่ยังคงซบเซาส่งผลใหร้ายได้ค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ลดลง เช่นเดียวกับรายได้ค่านายหน้าประกันตามการชะลอตวัของสินเชื่อปล่อยใหม่ ส่วนค่าใช้จ่าย ยังสามารถบริหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยอัตราส่วนค่าใช้จ่าในการดำเนินงานต่อรายได้สุทธิอยู่ที่ 42.4%

ธนาคารคงความรอบคอบและมีการสำรองผลขาดทุนดา้นเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นอย่างระมัดระวัง และจากมาตรการต่างๆที่ธนาคารได้ดำเนิน การมาอย่างต่อเนื่องเพื่อเร่งบริหารจัดการคุณภาพสินทรัพย์ส่งผลใหธ้นาคารเห็นสัญญาณที่ดีขึ้น และภายใต้หลักการบริหารคุณภาพสินเชื่อเชิงรุกธนาคารได้มีการพิจารณาจัดชั้นเชิงคุณภาพสินเชื่อขนาดใหญ่รายหนึ่ง ซึ่งธนาคารได้มีการสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นไว้ครบถ้วนแล้วในไตรมาส 4/2566 ส่งผลให้อัตราส่วนสินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิตต่อสินเชื่อรวมอยู่ที่ 3.8%  เพิ่มขึ้นจาก 3.2% ณสิ้นปี 2566