HoonSmart.com >> NUT เตรียมพร้อมระดมทุน IPO เข้าตลาด mai ต่อยอดการเติบโตและสร้างความแข็งแกร่งทางธุรกิจเสริมอาหาร-เครื่องสำอาง เดินหน้าโรดโชว์ให้ข้อมูลนักลงทุน ปีนี้ตั้งเป้ารายได้ 1,200 ล้านบาท
นายภาคิณ กิตติภานุวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นูทริชั่น โปรเฟส ( NUT ) เปิดเผยว่า บริษัททำธุรกิจเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและเครื่องสำอางครบวงจร มีการพัฒนาและผลิตสินค้าขายในแบรนด์ของบริษัทเอง (House Brand) และผลิตภัณฑ์ที่เป็นแบรนด์ร่วมกับผู้ร่วมทุน (Co-Brand) และสินค้าที่ขายร่วม (Co-Product) ภายใต้ตราสินค้าของบุคคลภายนอก
เตรียมเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 37 ล้านหุ้น หรือ 30.83% ของหุ้นสามัญที่จำหน่ายแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังไอพีโอจะทำให้มีทุนชำระแล้วมูลค่า 60 ล้านบาท มีจำนวนหุ้น 120 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) กลุ่มอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภค โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการนำเสนอข้อมูลบริษัทและข้อมูลรายละเอียดการเสนอขายหุ้นสามัญหรือโรดโชว์แก่กองทุน และจะไปพบนักลงทุนทั่วไปในจังหวัดเชียงใหม่, จังหวัดสงขลา, จังหวัดชลบุรี และปิดท้ายที่กรุงเทพมหานครฯ
วัตถุประสงค์ของการระดมทุน เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน สำหรับการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ การผลิต Content (รูปแบบเนื้อหา) รวมถึงการว่าจ้างพรีเซ็นเตอร์ และ อินฟลูเอนเซอร์สำหรับผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและเครื่องสำอางใหม่ แยกเป็น ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร 140 ล้านบาท ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง กลุ่มดูแลส่วนบุคคล 20 ล้านบาท และผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง กลุ่มดูแลผิว 40 ล้านบาท โดยมีแผนใช้เงินทุนดังกล่าวภายในปี 2569
ปี 2568 บริษัทตั้งเป้ารายได้จากการขาย 1,200 ล้านบาท จากปี 2567 ที่มีรายได้ 1,160.82 ล้านบาท ขณะที่ หนี้สิน มีจำนวน 215 ล้านบาท มีส่วนของผู้ถือหุ้น 279.68 ล้านบาท รวมสินทรัพย์ 495.17 ล้านบาท โดยมั่นใจว่าปี 2568 กำไรจะดีต่อเนื่องจากปี 2567 ที่มีกำไรสุทธิ 55.16 ล้านบาท สินค้าที่ขายดีของบริษัทได้แก่ เยสแคร์ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ดูแลดวงตา มียอดขายไปแล้วกว่า 100 ล้านเม็ด ทำยอดขายคิดเป็น 25% ของรายได้รวม เหตุไลฟ์สไตล์ในชีวิตประจำวันที่ผู้คนใช้สายตาไปกับการดูหน้าจอโทรศัพท์เป็นเวลานาน และยังเป็นสินค้าที่ชนะการประกวดนวัตกรรมระดับนานาชาติ โดยได้เหรียญทองจากจีน จากเกาหลี เหรียญเงินจากประเทศสวิสเซอร์แลนด์ และรางวัลพิเศษ WIIPAทำให้สินค้าดังกล่าวได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง ตามด้วยกรีน อัลฟ่า คลอโรฟิลล์จากธรรมชาติ สัดส่วน 20% และที่กำลังมาแรง คือน้ำมันสกัดสาหร่ายแดง นอกจากนี้ ยังมีผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง ซึ่งมีแนวโน้มที่จะเติบโตได้อีกมากในอนาคต
“สังคมสูงวัย และไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไป ทำให้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ได้รับความนิยม และตลาดนี้ยังเติบโตต่อไปได้อีก และจากการที่บริษัทเป็นผู้พัฒนาและผลิตสินค้าครบวงจร มีโรงงานผลิตเป็นของตัวเอง 3 แห่ง เป็นการผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร 2 แห่ง และเครื่องสำอาง 1 แห่ง ทำให้สามารถควบคุมมาตรฐานการผลิตและต้นทุนในการดำเนินงานได้ ซึ่งปัจจุบันต้นทุนส่วนใหญ่เกิดจากการทำตลาด เพื่อสร้างการรับรู้แบรนด์ และการทำประชาสัมพันธ์ผ่านออนไลน์”นายภาคิณ กล่าว
นายภาคิณ กล่าวว่า ที่มาของรายได้ จะมาจากการขายผ่านออนไลน์ และออฟไลน์ ในสัดส่วน 70:30 โดยในส่วนของออนไลน์ จะเป็นการขายใหม่ ในขณะที่ออฟไลน์ เป็นการขายด้วยการติดตามให้ลูกค้าเก่ามาซื้อซ้ำ ทำให้มีอัตราการซื้อซ้ำสูงเกินกว่า 50% โดยมาร์จิ้นช่องทางออฟไลน์จะสูงกว่าออนไลน์ เพราะการทำตลาดออนไลน์ในช่วงแรกจะมีต้นทุนสูง
สำหรับ ปีที่ผ่านมา NUT มีค่าใช้จ่ายรวม 1,069.31 ล้านบาท เป็นต้นทุนขาย 186.44 ล้านบาท ต้นทุนในการจัดจำหน่าย 728.48 ล้านบาท ซึ่งลดลงจากปี 2566 เล็กน้อย
นายวิชา โตมานะ กรรมการผู้จัดการ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า การนำเสนอข้อมูลจะช่วยให้นักลงทุนได้ข้อมูลทั้งด้านการดำเนินธุรกิจ ศักยภาพการเติบโต และปัจจัยความเสี่ยงด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจ เพื่อประกอบการตัดสินใจในการลงทุน
ทั้งนี้ NUT เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และเครื่องสำอาง ภายใต้แบรนด์บริษัท หรือแบรนด์ร่วม และรับจ้างผลิตผลิตภัณฑ์ เสริมอาหาร และเครื่องสำอางภายใต้แบรนด์ของบุคคลภายนอก บริษัทมีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญมากกว่า 10 ปี จากการบริการแบบครบวงจร ตั้งแต่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ การผลิตตามมาตรฐานสากล ไปจนถึงการจัดจำหน่ายครอบคลุมทั้งช่องทางออนไลน์และออฟไลน์
มุ่งเน้นการนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่และขยายช่องทางการจัดจำหน่ายอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค ส่งผลให้ NUT เป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับในระดับอุตสาหกรรมเสริมอาหารและเครื่องสำอางของประเทศอย่างกว้างขวาง
ทั้งนี้ ปี 2567 ที่ผ่านมา NUT มีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ระดับ 83.94 ใกล้เคียงกับปี 2566 ด้านอัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์(ROA) อยู่ที่ 11.10% จากปี 2566 อยู่ที่ 13.65% อัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น(ROE) อยู่ที่ 19.07% จากปี 2566 ซึ่งอยู่ที่ 22.74% ด้านอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนผู้ถือหุ้น (D/E) อยู่ที่ 0.77 เท่า จากปี 2566 อยู่ที่ 0.67 เท่า