“มอร์นิ่งสตาร์” แนะรับมือหุ้นสหรัฐฯ ผันผวน เน้นหุ้น Value-Core ลดน้ำหนักหุ้น Growth

HoonSmart.com>> “มอร์นิ่งสตาร์” แนะนักลงทุนจัดพอร์ตรับมือตลาดหุ้นสหรัฐฯ ผันผวนระยะสั้นช่วงเดือนพ.ค. เพิ่มน้ำหนักหุ้นมูลค่า (Value) รับเงินไหลออกจากหุ้นเติบโต (Growth) เพิ่มน้ำหนักพอร์ต “ส่วนหลัก (Core) ลดน้ำหนักหุ้นเติบโต (Growth) ชี้ “หุ้นกลุ่มพลังงาน” มูลค่าต่ำกว่ามูลค่ายุติธรรมมาก รองจากกลุ่มสื่อสาร ด้านกลุ่ม Consumer Defensive มีมูลค่าสูงเกินไปมากที่สุด

บริษัท มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช (ประเทศไทย) เผยจากการประเมินมูลค่ารวมของมอร์นิ่งสตาร์ฯ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ซื้อขายอยู่ที่ส่วนลด 8% ( ณ วันที่ 30 เม.ย.2568) จากมูลค่ายุติธรรม ซึ่งเป็นระดับเดียวกับช่วงสิ้นเดือนมี.ค. อย่างไรก็ตาม การคำนวณ ณ สิ้นเดือนนี้ไม่สามารถสะท้อนการร่วงลงของตลาดในช่วงต้นเดือนเม.ย. หลังจากสหรัฐฯ ประกาศเก็บภาษีนำเข้า และการฟื้นตัวในภายหลังได้อย่างครบถ้วน

ตัวอย่างเช่น ราคาต่อมูลค่ายุติธรรม (Price/Fair Value) ลดลงถึงระดับส่วนลด 17% เมื่อวันที่ 4 เม.ย.2568 ซึ่งในตอนนั้นมอร์นิ่งสตาร์ฯ แนะนำให้นักลงทุนเพิ่มน้ำหนักการลงทุน เพราะมองว่าระดับส่วนลดนั้นมีความปลอดภัยเพียงพอสำหรับนักลงทุนระยะยาว ต่อมา ตลาดหุ้นได้ปรับตัวขึ้นหลังมีการประกาศหยุดเก็บภาษีเป็นเวลา 90 วันเพื่อเริ่มการเจรจาการค้า เมื่อพิจารณาจากการฟื้นตัวของตลาดที่รวดเร็ว และการประเมินมูลค่าที่กลับขึ้นมาแล้ว เราเห็นว่านี่เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมในการขายทำกำไร และปรับพอร์ตกลับสู่ระดับที่ให้น้ำหนัก “เท่ากับตลาด” โดยรวม

 
ใจกลางพายุเฮอริเคน

สัญญาณแรกของพายุใหญ่ในตลาดหุ้นเริ่มปรากฏในเดือนมีนาคม เมื่อภาวะตลาดหมีในกลุ่มหุ้นปัญญาประดิษฐ์ (AI) ฉุดตลาดโดยรวมให้ร่วงลง อย่างไรก็ตาม นั่นเป็นเพียงพายุลูกเล็ก ๆ เพราะพายุที่แท้จริงเกิดขึ้นหลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศมาตรการเก็บภาษีนำเข้า หุ้นร่วงลงอย่างรวดเร็วในสัปดาห์ถัดมา ส่งผลให้ตลาดเข้าสู่ภาวะตลาดหมีอย่างเป็นทางการ เมื่อดัชนี Morningstar US Market ลดลงจากจุดสูงสุดถึง 20%

แต่ดูเหมือนว่าท้องฟ้าจะเริ่มสดใสอย่างรวดเร็วเช่นกัน เมื่อประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศว่าจะระงับมาตรการภาษีเหล่านั้นเป็นเวลา 90 วัน เพื่อเปิดทางให้การเจรจาการค้าเริ่มต้นขึ้น หุ้นฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งและสามารถกลับมาทำกำไรจากที่สูญเสียไปก่อนหน้า ส่งผลให้มูลค่าตลาดกลับมาอยู่ในระดับเดียวกับช่วงสิ้นเดือนมีนาคม
 

ควรขายหุ้นในเดือนพฤษภาคม?

มีคำกล่าวที่ว่า “sell in May and go away” เพราะผลตอบแทนของตลาดมักจะซบเซาในช่วงฤดูร้อน อย่างไรก็ตาม ด้วยมูลค่าตลาดที่ยังซื้อขายต่ำกว่ามูลค่ายุติธรรมในระดับที่เหมาะสม จึงแนะนำให้ “นักลงทุนระยะยาว” ยังคงถือครองหุ้นในระดับให้น้ำหนัก “เท่ากับตลาด” โดยรวม แต่ด้วยเศรษฐกิจที่เริ่มชะลอตัว ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) มีแนวโน้มที่จะยังคงไม่ปรับดอกเบี้ยในช่วงนี้ และการเจรจาการค้ากับความเสี่ยงจากภาษีที่อาจเกิดขึ้น เราเชื่อว่าการจัดพอร์ตมีความสำคัญอย่างมากเพื่อป้องกันความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นในช่วงนี้

มอร์นิ่งสตาร์ฯ มองว่านักลงทุนสามารถวางตำแหน่งพอร์ตเพื่อรับมือกับความผันผวนระยะสั้น ด้วยการเลือกหุ้นที่ :

  • มีความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืนในระยะยาว (ตาม Morningstar Economic Moat Rating ระดับ Wide หรือ Narrow)
  • มีระดับความไม่แน่นอน (Uncertainty Rating) อยู่ในระดับต่ำถึงปานกลาง
  • ซื้อขายที่ราคาต่ำกว่ามูลค่าที่ประเมินไว้อย่างมีนัยสำคัญ (มี Margin of Safety สูง)
  • ให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลในระดับที่น่าดึงดูด
  • อยู่ในหมวดหุ้นมูลค่า (Value) ซึ่งจะได้รับประโยชน์จากการหมุนเวียนเงินทุนออกจากหุ้นเติบโต (Growth)
  • อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมป้องกันความเสี่ยง (Defensive sectors) ที่จะได้รับประโยชน์เมื่อเงินทุนไหลออกจากกลุ่มที่ผันผวนตามเศรษฐกิจ

    จากการประเมินของมอร์นิ่งสตาร์ฯ ในเชิง “สไตล์การลงทุน” แนะนำให้ :

  • ให้น้ำหนักมากขึ้นกับหุ้น Value ซึ่งซื้อขายต่ำกว่ามูลค่ายุติธรรมถึง 12%
  • ให้น้ำหนักมากขึ้นกับหุ้น Core ซึ่งซื้อขายต่ำกว่ามูลค่ายุติธรรมถึง 11%
  • ลดน้ำหนักหุ้น Growth ซึ่งกลับซื้อขายเกินมูลค่ายุติธรรมอยู่ 3%

     
    ประเมินมูลค่าแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรม

    นับตั้งแต่รายงานล่าสุดเมื่อวันที่ 9 เมษายน มูลค่าหุ้นในแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรมโดยรวมได้ปรับตัวสูงขึ้น ตามการฟื้นตัวของตลาดโดยรวม กลุ่มที่ตามหลังมากที่สุดคือกลุ่มพลังงาน เนื่องจากราคาน้ำมันยังคงลดลง กลุ่มพลังงานจึงกลายเป็นกลุ่มที่มีมูลค่าต่ำกว่ามูลค่ายุติธรรมมากเป็นอันดับสอง รองจากกลุ่มสื่อสาร ส่วนกลุ่ม Consumer Cyclical และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate) ถูกประเมินว่ามีมูลค่าต่ำเป็นอันดับสามร่วมกัน

    กลุ่ม Consumer Defensive ยังคงเป็นกลุ่มที่มีมูลค่าสูงเกินไปมากที่สุด ซึ่งตัวเลขการประเมินมูลค่าในกลุ่มนี้ถูกบิดเบือนไปทางสูงเกินจริง เนื่องจากหุ้นของ Costco (COST) และ Walmart (WMT) ที่ได้รับเรตติ้งระดับ 1 ดาว และ Procter & Gamble (PG) ที่ได้ระดับ 2 ดาว ซึ่งทั้งสามตัวนี้คิดเป็น 31% ของมูลค่ารวมในดัชนี หากไม่นับหุ้นทั้งสามนี้ กลุ่มที่เหลือจะซื้อขายอยู่ที่ส่วนลด 6% จากมูลค่ายุติธรรม ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่เหมาะสมมากกว่า

    กลุ่มสาธารณูปโภค (Utilities) และกลุ่มบริการทางการเงิน (Financial Services) เป็นสองกลุ่มถัดไปที่มีมูลค่าสูงเกินไป อย่างไรก็ตาม การประเมินค่าสูงเกินในกลุ่มเหล่านี้มีลักษณะกระจายกว้าง และมีหุ้นเพียงไม่กี่ตัวที่ได้เรตติ้งระดับ 4 หรือ 5 ดาว