ตลาดหุ้นฯลุ้นงบรายจ่ายดึงทุนไหลเข้า โชว์หุ้น SET50 ผลตอบแทน 4%

HoonSmart.com>>ตลาดหลักทรัพย์ฯลุ้นงบประมาณรายจ่าย เติมเต็มความเชื่อมั่นนักลงทุนต่างชาติ ดึงเงินไหลกลับ หลังการส่งออก ท่องเที่ยวฟื้น หนุนกลุ่มอาหาร บริการ เติบโตแรงช่วงไตรมาสแรก โชว์หุ้นใหญ่ให้ผลตอบแทน 4% ดีกว่าตราสาร-ฝากเงิน “ภากร”ยอมรับปีนี้เหนื่อยเกิดเหตุเซอร์ไพรซ์ไม่หยุด

นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า เดือนมีนาคมที่ผ่านมาดัชนีหุ้นไทย ปิดที่ 1,377.94 จุด ปรับเพิ่มขึ้น 0.5% จากเดือนก่อนหน้าซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับตลาดหลักทรัพย์อื่นในภูมิภาค อย่างไรก็ตาม ปรับลดลง 2.7% เมื่อเทียบกับสิ้นปีก่อนหน้า

การปรับเพิ่มขึ้น 0.5% เป็นผลจาก 3 ปัจจัยหลัก หนึ่งทิศทางอัตราดอกเบี้ยชัดว่าจะไม่มีการปรับขึ้น สอง การปรับเพิ่มขึ้นของการส่งออกไทย สอง จำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นโดย 3 เดือนแรกมีนักท่องเที่ยว 3 ล้านคน เป็นนักท่องเที่ยวจีนเกือบ 2 ล้านคน

ทั้งนี้ สัญญาณเศรษฐกิจสหรัฐมีความชัดเจนว่าแข็งแกร่งมาก แล้วก็ทาง FED ส่งสัญญาณว่ายังไม่ขึ้นอัตราดอกเบี้ย แต่ก็ยังไม่ปรับในเร็ววัน เพราะว่าเศรษฐกิจสหรัฐยังแข็งแรง ในขณะที่เงินเฟ้อสหรัฐ ลดลงค่อนข้างมาก ความคาดหวังของนักลงทุน กับทิศทางที่ประธาน FED ส่งสัญญาณออกมา เริ่มแคบลง และนักลงทุนเข้าใจตรงกันแล้วว่าในครึ่งแรกของปีนี้ FED จะยังไม่ลดอัตราดอกเบี้ย จะทำให้ความผันผวนที่จะเกิดขึ้นในช่วง 3 หรือ 6 เดือนข้างหน้าน่าจะน้อยลง

“เมื่อไปดูหุ้นสหรัฐที่ปรับเพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ส่วนใหญ่มาจาก หุ้น Magnificent 7 ตัว ที่เป็นหุ้นเทคโนโลยี ที่ขึ้นมาตั้งแต่ปลายปี 2565 ขึ้นมา 2.5 เท่า ถ้าเอาหุ้น หุ้น Magnificent 7 ตัวออกไป หุ้นสหรัฐฯ ตั้งแต่ปี 2566 ถึงเดือนมีนาคมปีนี้ ขึ้นไม่ถึง 10% ฉะนั้นหุ้นสหรัฐฯที่มีการปรับเพิ่มขึ้นเป็นผลมาจากหุ้น Magnificent 7 ซึ่งเป็น strong driver”นายศรพล กล่าว

นายศรพล กล่าวว่า สำหรับทิศทางเศรษฐกิจโลกมองว่าจะมีความผันผวนสูงมาก เมื่อดูนโยบายทางเศรษฐกิจของประเทศหลักๆ ของโลก เพราะว่าบางประเทศจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เช่นญี่ปุ่น มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแล้วสวนทางประเทศหลัก ที่บางประเทศบอกว่าจะลด แต่ก็ไม่รู้ว่าจะลดเท่าไหร่ จะเกิดแรงกระเพื่อมของเงินกองทุนเคลื่อนย้ายสูงพอสมควร ซึ่งยังไม่ได้รวมปัจจัยการเลือกตั้งและนโยบายการเงินของแต่ละประเทศที่มีความต่างกัน

ด้าน Earning Yield Gap ของดัชนี SET50, sSET และ mai พบว่าหุ้นใน SET50 ราคาหุ้นมีการปรับตัวลดลง ทำให้ผลตอบแทนสูงปะมาณ 4% ซึ่งสูงกว่าการลงทุนในตราสาร และการฝากเงิน โดยไม่ได้รวมหุ้นที่มีการจ่ายเงินปันผลสูง ซึ่งราคาของหุ้นใหญ่ที่ปรับตัวลงเป็นจุดที่น่าสนใจต่อการลงทุน อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ผ่านมานักลงทุนรายย่อยมีการเข้ามาซื้อขายหุ้นขนาดกลาง และหุ้นตัวเล็กมากขึ้น ราคาหุ้นกลุ่มนี้เพิ่มขึ้น จึงทำให้ผลตอบแทนลดลง ซึ่งต่อไปต้องติดตามว่าเงินลงทุนจะไหลเข้าหุ้นกลุ่มไหน ระหว่างหุ้นขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และเล็ก

นอกจากนี้ ยังมีจุดเปลี่ยนสำคัญที่จะมีผลต่อตลาดทุน คือ เศรษฐกิจจีน ซึ่ง 2 ปีที่ผ่านมาไม่ค่อยดี ทั้งเรื่องการเติบโตทางเศรษฐกิจและตลาดหุ้น แต่ปัจจุบันเริ่มจะมีความน่าสนใจและน่าติดตามตรงที่ ดัชนีคำสั่งซื้อของคนจัดซื้อในจีนสูงกว่า 50% เป็นการสะท้อนว่าคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นเพื่อนำไปผลิต หากตัวเลขสั่งซื้อเพิ่มสูงขึ้นก็หวังว่าไทยจะสามารถส่งออกไปจีนได้มากขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องติดตามว่าจีนจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างไรออกมา

“ส่งออกไทยขยายตัวต่อเนื่อง 7 เดือนซึ่งเป็นพระเอกของไทยตอนนี้ โดยการท่องเที่ยว 3 เดือนแรก มี 3 ล้านคน ซึ่งก็ใกล้เคียงกับช่วงก่อนโควิด จุดที่น่าสนใจคือนักท่องเที่ยวจีนมาถึง 1.7 ล้านซึ่งอาจจะได้รับอานิสงส์จากการที่เศรษฐกิจจีนดีขึ้น บวกกับวีซ่าฟรีที่เริ่มตั้งแต่ 1 มีนาคม เป็น 2 ปัจจัยแรกที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้ไปต่อได้ ในขณะที่ภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการที่สะท้อนจากธุรกิจท่องเที่ยวก็ดีขึ้นมาก”นายศรพล กล่าว

ลุ้นงบรายจ่ายรัฐดึงเงินทุนไหลกลับ

นายศรพล กล่าวว่า ในมุมของดอลล่าร์เทอม หรือ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐยังติดลบเพราะว่าเงินบาทอ่อน กลุ่มที่เติบโตสูงสุด คือ กลุ่มอาหารและบริการ ที่อิงกับกลุ่มท่องเที่ยว ส่วนเดือนเมษายนปีนี้ปริมาณการซื้อขายยังเบาบาง เป็นเรื่องปกติของเดือนนี้ที่มีวันหยุดหลายวัน ที่ช่วงนี้ของทุกปีปริมาณการซื้อขายจะตกลงประมาณ 20% ต้องรอให้นักลงทุนกลับจากวันหยุดสงกรานต์

ด้านเงินทุนต่างประเทศในเดือนนี้เริ่มกลับมาแล้วแต่ยังไม่มาก หลังจากที่มีขายสุทธิในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการคาดการณ์ค่าเงิน ที่นักลงทุนต่างประเทศมองว่าค่าเงินบาทจะอ่อน โดยต้องดูหลังงบประมาณรายจ่ายของรัฐบาลที่กำลังจะออกมาจะสามารถดึงเงินทุนไหลกลับเข้าได้หรือไม่

ช่วงนี้ Fund Flow ไหลกลับเพราะความผันผวนในสหรัฐฯแต่ไม่มาก เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคที่เงินทุนไหลเข้าสูงมากโดยเฉพาะอินเดียที่ไหลเข้ามากที่สุดในปีนี้ เพราะเศรษฐกิจอินเดียมีการแยกตัวจากเศรษฐกิจโลก แม้ว่าเศราฐกิจโลกจะผันผวนเขาก็ยังอยู่ได้ พอเศรษฐกิจขยายตัวค่อนข้างดีทำให้น้ำหนักของตัว MSCI ในอินเดียเพิ่มขึ้นและสถาบันต่างๆ จะลงทุนตามน้ำหนักใน index สำคัญ ก็ทำให้ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาอินเดียเป็นบวก อีกประเทศหนึ่งคือเกาหลี ขณะที่ไทยไหลออก เวียดนามออก มาเลเซีย ไต้หวัน เงินทุนก็ไหลออก

“ปีนี้ยังมีความผันผวนทางเศรษฐกิจของแต่ละประเทศอยู่ เรื่อง FED มีความชัดเจนแล้ว แต่ต้องดูนโยบายการเงินของประเทศอื่นๆ ด้วยตอนนี้เรื่องดอกเบี้ยไม่ได้เป็นไปในทิศทางเดียวกันแล้ว เพราะทุกคนจะดูความเหมาะสมของตัวเอง อย่างญี่ปุ่นก็ขึ้นดอกเบี้ย”นายศรพล กล่าว

นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ปีนี้เป็นปีที่เหนื่อยมากๆ จากที่คิดว่าปีนี้ความไม่แน่นอนจะน้อยลง แต่ก็ยังมีเรื่องใหม่ๆเข้ามาเสมอ จากเดิมที่คิดว่าสถานการณ์ในตะวันออกกลางชัดเจนแล้ว ยุโรปชัดเจนแล้ว คราวนี้มาตรงข้ามประเทศไทยเลย ก็มีอะไรที่ทำให้เป็นเซอร์ไพรส์ได้เสมอ ถ้าในช่วงที่เหลือของปีนี้ ไม่มีอะไรที่ผิดความคาดหมายอีก คิดว่าปีนี้จะดีกว่าปีที่แล้ว

สำหรับ เงินลงทุนในตลาดหุ้นไทยจะกลับเข้ามาเป็นบวกได้ขึ้นอยู่กับ หนึ่ง สภาวะเศรษฐกิจ สอง เรื่องอัตราดอกเบี้ย สาม ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจะเป็นตัวสำคัญมากๆ ในการดึง Fund Flow และสี่ เศรษฐกิจประเทศอื่นๆในโลกเป็นอย่างไรบ้าง เพราะว่าไทยไม่ได้อยู่โดดเดี่ยวจากประเทศอื่นๆ

“ปี 2567 Fund Flow เข้ามาในเดือนกุมภาพันธ์ พอเดือนมีนาคมก็ไหลออก แต่ที่น่าจับตามองนับจากนี้คือ งบประมาณรายจ่ายภาครัฐที่กำลังจะออกมาในปีนี้ ซึ่งมากกว่าปกติเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านๆ มา จะดึงเงินลงทุนไหลกลับเข้ามาได้แค่ไหน”นายภากร กล่าว

นายภากร กล่าวว่า ส่วนความไม่สงบในพม่านั้น ยอมว่าไทยได้รับผลกระทบ แต่ไม่มากหากมองในมุมของการค้าระหว่างประเทศ ไม่กระทบมากเมื่อเทียบกับการค้ากับประเทศอื่นๆ ในเอเชีย และอาเซียน แต่ในระยะยาวต้องคอยติดตาม

ขณะที่ การเพิ่มเวลาซื้อขายในช่วงเที่ยงวันอีก 30 นาที เพื่อทำให้เวลาการซื้อขายของตลาดหุ้นไทยใกล้เคียงกับประเทศอื่นๆ โดยเงินลงทุนส่วนใหญ่มักจะมาจากต่างประเทศ การที่ไม่ได้เพิ่มเวลาเทรดในตอนเช้าเพราะว่าตลาดหุ้นไทยเปิดหลังจากตลาดอื่น 1 ชั่วโมง เพราะฉะนั้นจึงไม่ต้องไปแข่งขันกับตลาดอื่นๆ  ส่วนตอนเย็นไทยเป็นตลาดสุดท้ายที่ปิดจึงไม่มีความจำเป็นต้องขยายตอนเย็น

ขณะที่ นักลงทุนต่างชาติยังให้ Valuation หุ้นไทยสูงกว่าตลาดประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค หากรัฐมีการเบิกจ่ายงบประมาณออกมาใช้ น่าจะดึงเงินลงทุนไทย และทำให้กลุ่มอื่นๆ ฟื้นตัวตาม เพราะภาพใหญ่ๆ ของไทยเริ่มดีแล้ว อย่างการส่งออก และการท่องเที่ยว

ส่วนผลการประชุม กนง.ในวันที่ 10 เมษายนนี้ น่าจะเห็นการตัดสินใจเกี่ยวกับทิศทางการลดอัตราดอกเบี้ยชัดเจนขึ้นอีก เพราะด้วยสถานการณ์ต่างๆ ก็มีแนวโน้มที่ชัดเจนขึ้นต่อการตัดสินใจของ กนง.