HoonSmart.com>>เอสซีจี แพคเกจจิ้ง มั่นใจ EBITDA margin ไตรมาส 2 ดีกว่าไตรมาส 1 เดินหน้าขยายการส่งออกไปตลาดใหม่ เอเชียใต้ ตะวันออกกลาง และโอเชเนีย เตรียมศึกษาการร่วมทุนตั้งฐานการผลิตในสหรัฐฯ ลดผลกระทบการขึ้นกำแพงภาษีในไตรมาส 3 เสริมพอร์ตสินค้าอุปโภคบริโภค-บริหารต้นทุน ลุยธุรกิจเฮลท์แคร์ตั้งเป้ารายได้ 1 หมื่นล้านบาทใน 5 ปี
นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง (SCGP) กล่าวว่า ภาพรวมในไตรมาสแรกของปี 2568 อุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์อาเซียนเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะบรรจุภัณฑ์กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม บรรจุภัณฑ์สินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่งได้รับผลดีจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล การเตรียมสินค้าก่อนถึงวันหยุดในไทยและอินโดนีเซีย การฟื้นตัวของการท่องเที่ยว และการส่งออกสินค้าก่อนมาตรการภาษี อย่างไรก็ตาม ความต้องการบรรจุภัณฑ์บางส่วนในจีนและเวียดนามได้รับผลกระทบจากวันหยุดช่วงเทศกาลปีใหม่ ประกอบกับความต้องการในสินค้าคงทนที่ชะลอตัวจากกำลังซื้อของผู้บริโภคที่จำกัดมากขึ้น
SCGP มุ่งเน้นการขายภายในประเทศภูมิภาคอาเซียน เพื่อตอบสนองความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น เพิ่มสัดส่วนกลุ่มบรรจุภัณฑ์อุปโภคบริโภค รวมถึงปรับกลยุทธ์การส่งออกกระดาษบรรจุภัณฑ์ไปยังประเทศต่าง ๆ ในอาเซียน เอเชียใต้ และตะวันออกกลาง นอกจากนี้ SCGP สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการลดต้นทุนด้วยการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ Machine Learning รวมถึงการจัดการต้นทุนพลังงานและวัตถุดิบกระดาษรีไซเคิล (RCP) ที่มีประสิทธิภาพ
ทำให้ผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 1 ของปี 2568 มีรายได้จากการขาย 32,209 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน มี EBITDA เท่ากับ 4,232 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 49% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน และมีกำไรสำหรับงวด 900 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน

ภาพรวมอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ไตรมาสที่ 2 ปี 2568 คาดว่าอาเซียนมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง ความต้องการในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคยังคงเติบโตจากนโยบายกระตุ้นภายในประเทศ โดยคาดว่า GDP จะเติบโตเฉลี่ย 2% ถึง 7% ซึ่งมีความแตกต่างกันในแต่ละประเทศ โดยที่ยังคงสูงกว่าภูมิภาคอื่น และความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์กลุ่มสินค้าส่งออกที่เพิ่มขึ้นในช่วงก่อนการบังคับใช้มาตรการภาษีนำเข้า
สำหรับ ต้นทุนวัตถุดิบกระดาษรีไซเคิลและค่าขนส่งมีแนวโน้มปรับขึ้นเล็กน้อยจากความต้องการในภูมิภาค ขณะที่ต้นทุนพลังงานมีแนวโน้มทรงตัว และมีความท้าทายจากภาคการส่งออกที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
นายดนัยเดช เกตุสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการเงิน บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง (SCGP) มั่นใจว่า EBITDA margin ไตรมาส 2 ปี 2568 จะดีกว่าไตรมาส 1 ปี 2568 เนื่องจากการบริโภคภายในประเทศยังคงเติบโตจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ปริมาณการขายในประเทศมีโอกาสเพิ่มขึ้น และนักท่องเที่ยวที่เข้ามาจำนวนมากทำให้บรรจุภัณฑ์อาหารขายดี การส่งออกในอาเซียนยังคงขยายตัว รวมถึงการส่งออกไปยังสหรัฐก็ยังเติบโต
“เรื่องภาษียังไม่กระทบกับรายได้ในไตรมาส 1 และไตรมาส 2 ของปีนี้ เพราะมีการยืดออกไปอีก 90 วัน แต่ที่รายได้เมื่อเทียบกับปีต่อปีมีการลดลงในไตรมาสแรก เพราะเวียดนามมีวันหยุดยาวทำให้ยอดขายลดลง และต้นทุนของกระดาษรีไซเคิลหรือ RCP) มีราคาที่สูงขึ้น ทำให้ต้นทุนเราเพิ่มขึ้น ส่วนไตรมาส 2 ต้นทุน RCP อาจจะขยับบ้างแต่คงไม่มาก คาดว่าเรื่องภาษีจะเริ่มกระทบในไตรมาส 3 ซึ่งเราก็เตรียมขยายตลาดใหม่ๆและลงทุนผลิตสินค้าใหม่เพิ่มขึ้น”นายดนัยเดช กล่าว
ขยายตลาดใหม่รับมือภาษี

นายวิชาญ กล่าวว่า สำหรับการรับมือจากมาตรการภาษี (Reciprocal Tariff) SCGP ได้เตรียมแผนเชิงรุก มุ่งปรับตัวรวดเร็ว สร้างความสามารถและความได้เปรียบในการแข่งขันผ่านคุณภาพสินค้า ความร่วมมือ สร้างความเป็นเลิศด้านการตลาด (Marketing Excellence) เพื่อส่งมอบสินค้า บริการและโซลูชันที่ตอบโจทย์ลูกค้า
บริษัทฯ ยังได้เตรียมแผนการใช้ประโยชน์จากฐานการผลิตที่ตั้งอยู่ในหลายประเทศและความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ ทำให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงแผนการส่งออกสินค้าไปยังตลาดใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพสูง ในอาเซียน ตะวันออกกลาง และโอเชเนีย คือนิวซีแลนด์ และออสเตรเลีย อีกทั้งยังมีการบูรณาการห่วงโซ่อุปทาน เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้า และการจ้างผลิตเพื่อให้ได้ต้นทุนที่แข่งขันได้ เช่น การผลิตบรรจุภัณฑ์อาหารในยุโรปตะวันออก
“ปัจจุบัน SCGP ส่งสินค้าไปยังสหรัฐรวม 1,275 ล้านบาท และลูกค้าส่งไปสหรัฐ 966 ล้านบาท ในกรณีที่กระทบ 100% จะสูญเสียรายได้ราว 2 พันล้านบาท อย่างไรก็ตาม ดูตามสินค้าที่จะถูกขึ้นภาษีตามสัดส่วนแล้ว น่าจะกระทบรายได้ประมาณ 900 ล้านบาท ซึ่งเราหาตลาดใหม่รองรับไว้แล้ว และเร็วๆ นี้ผมกับคุณดนัยเดช จะเดินทางไปสหรัฐอเมริกา เพื่อไปดูสถานที่และโอกาส โดยเรามีแผนที่จะใช้เป็นฐานการผลิต ในลักษณะของการร่วมทุน และส่งสินค้าเข้าไป เพื่อจะได้ไม่เสี่ยงเกินไป หากมีการเปลี่ยนผู้นำของสหรัฐอเมริกา ที่จะนำมาซึ่งนโยบายที่เปลี่ยนไปด้วย”นายวิชาญ กล่าว
ร่วมทุนผลิตสินค้าใหม่
นายวิชาญ กล่าวว่า บริษัทตั้งงบลงทุนปี 2568 รวม 13,000 ล้านบาท โดยไตรมาสแรกมีการใช้ไปแล้ว 1,143 ล้านบาท อีก 8,000-10,000 ล้านบาท จะเป็นงบลงทุน M&P และขยายกำลังการผลิต และงบสำหรับการซ่อมบำรุงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพเครื่องจักร พัฒนาเทคโนโลยี นวัตกรรม และ 3,000-5,000 ล้านบาทเป็น ESG
ทั้งนี้ บริษัทฯได้ทำการเพิ่มโอกาสใหม่ในกลุ่มสินค้าบรรจุภัณฑ์สำหรับผู้บริโภค เพื่อนำเสนอโซลูชันบรรจุภัณฑ์ครบวงจร โดยได้ร่วมลงทุนในบริษัทโฮวะ แพ็คเกจจิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด ในสัดส่วน 25% กับ Howa Sangyo Company Limited เพื่อผลิตบรรจุภัณฑ์แบบอ่อนตัวสำหรับอาหารสัตว์เลี้ยงชนิดเปียก ด้วยกำลังการผลิต 6,000 ตันต่อปี ซึ่งคาดว่าจะเริ่มการผลิตในเดือนมิถุนายนปีนี้

ตั้งเป้ารายได้ธุรกิจด้านสุขภาพ 1 หมื่นล้านบาท

นายดนัยเดช กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทฯมีรายได้จากธุรกิจ Medical Care และ Health Care รวม 2,000 ล้านบาท โดยตั้งเป้าที่จะมีรายได้จากธุรกิจดังกล่าวเป็น 10,000 ล้านบาทภายใน 5 ปี นับจากปี 2568 ล่าสุด ได้ขยายการเติบโตในตลาด Healthcare Supplies ด้วยการผสานความร่วมมือกับ Once Medical Company Limited (Once) นำความเชี่ยวชาญมาผลิตหลอดฉีดยาและเข็มฉีดยาที่บริษัทวีอีเอ็ม (ไทยแลนด์) จำกัด (VEM-TH) ในประเทศไทย ด้วยงบลงทุนประมาณ 142.3 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มการผลิตเชิงพาณิชย์ในเดือนมกราคม ปี 2569 ซึ่งจะช่วยลดการพึ่งพาการนำเข้ากระบอกฉีดยาและเข็มฉีดยาของประเทศไทย และช่วยเพิ่มโอกาสการขายผ่านช่องทางของ Deltalab, S.L. ในประเทศสเปนด้วย
เดินหน้าธุรกิจสีเขียว
นายวิชาญ กล่าวว่า บริษัทฯ ได้มุ่งพัฒนานวัตกรรมบรรจุภัณฑ์เพื่อความยั่งยืน โดยสัดส่วนรายได้จากกลุ่มสินค้านวัตกรรมและโซลูชัน คิดเป็นร้อยละ 39 ของรายได้จากการขายรวมในไตรมาสที่ 1 ของปี 2568 ซึ่งเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 37 ในปี 2567 และล่าสุด Paper Cutlery หรือนวัตกรรมช้อน ส้อม และมีด ที่ผลิตจากกระดาษ แบรนด์ “Fest by SCGP” ได้รับรางวัลชนะเลิศ THAIFEX-HOREC Innovation Awards จากเวที THAIFEX-HOREC Asia 2025 นอกจากนี้ SCGP ขับเคลื่อน ESG เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยในไตรมาสแรก สามารถเพิ่มสัดส่วนการใช้เชื้อเพลิงชีวมวลเป็น 42% จาก 38% ในปีก่อน ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้
