HoonSmart.com>> DELTA เผยกำไร Q1/68 โตแตะ 5,488 ล้านบาท เติบโต 27.4% กวาดยอดขายสินค้าและบริการ 42,736 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.5% รับกลุ่มสินค้าเกี่ยวกับดาต้าเซ็นเตอร์ – AI หนุน บอรด์อนุมัติลงทุนซื้อเครื่องจักร 506 ล้านบาท ในไตรมาส 3/68 ปิดบริษัทย่อยในฮังการี ด้าน “บล.กสิกรไทย” ชี้ DELTA กำไรแกร่งเกินคาด
บริษัทเดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) หรือ DELTA เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2568 มีกำไรสุทธิ 5,488.13 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.44 บาท เพิ่มขึ้น 27.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 4,307.51 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.35 บาท
สำหรับยอดขายสินค้าและบริการในไตรมาสนี้อยู่ที่ 42,736 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.5% และปรับตัวดีขึ้น 2.4% จากไตรมาสที่แล้ว ขับเคลื่อนโดยกลุ่มผู้ลิตภัณฑ์ระบบไฟฟ้าประสิทธิภาพสูงสำหรับการใช้งานในโครงสร้างพื้นฐานดาต้าเซ็นเตอร์เติบโตอย่างแข็งแกร่งสอดคล้องกับแนวโน้มการลงทุนในเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ที่เร่งตัวขึ้นมาก ควบคู่กับการพัฒนาด้านเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับการประมวลผลสมรรถนะสูงภายใต้การใช้งานแอปพลิเคชันอัจฉริยะและบริการทางดิจิทัลหลากหลายรูปแบบในวงกว้าง
บริษัทฯ เห็นแนวโน้มอุปสงค์ที่ดีจากกลุ่มผู้ให้บริการคลาวด์ และกลุ่มโครงสร้างเครือข่าย นอกจากนี้กลุ่มผลิตภัณฑ์ระบบอัตโนมัติสำหรับภาคอุตสาหกรรมก็มีการเติบโตดีต่อเนื่องอย่างไรก็ตาม รายได้กลุ่มโซลูชนั่ สำหรับยานยนต์ไฟฟ้ายังคงอ่อนตัวจากสถานการณ์ดีมานด์ที่ผันผวน ขณะเดียวกัน กลุ่มพัดลมและระบบจัดการความร้อน กลุ่มผลิตภัณฑ์พลังงานโทรคมนาคมยังมีรายได้ทรงตัวจากช่วงก่อนหน้า ท้้งนี้บริษทั ฯ คงมุมมองเชิงบวกอย่างระมัดระวังต่อแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ได้รับผลกระทบจากความตึงเครียดของปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งเป นแรงกดดันต่อภาคธุรกิจเทคโนโลยีต่อไป
ด้านกำไรจากการดำเนินงานในไตรมาสนี้มีจำนวน 5,700 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไร 13.3% เพิ่มขึ้นจาก 9.8% ของงวดเดียวกันในปีก่อนเนื่องจากการเติบโตของยอดขายในกลุ่มสินค้าที่แตกต่างกันควบคู่กับประสิทธิภาพในการบริหารต้นทุนและค่าใช้จ่าย นอกจากนี้บริษัทฯ ได้มีการบันทึกกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 437 ล้านบาท ร่วมกับรายได้อื่น ๆ
กำไรขั้นต้นในไตรมาสนี้มีจำนวน 10,927ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37.1% ขับเคลื่อนโดยการเติบโตของยอดขายที่เพิ่มขึ้นภายใต้กลุ่มธุรกิจพาวเวอร์อิเล็คทรอนิกส์ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้น เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าอย่างมีนัยสำคัญเนื่องจากการเติบโตของยอดขายในกลุ่มสินค้าที่มีอัตรากำไร แตกต่างกัน อีกทั้งในปี ที่แล้ว บริษัทฯได้มีการบันทึกผลกระทบของการปรับลดมูลค่าสินค้าคงคลัง เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ห่วงโซ่อุปทานในตลาดโลกที่ผ่อนคลาย
อีกทั้งมีการบันทึกประมาณการหนี้สินภาษีส่วนเพิ่ม 785ล้านบาท ตามกฎการคำนวณภาษีเงินได้เสาหลักที่สอง (Pillar Two model rule) ที่ริเริ่มโดยองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ซึ่งประเทศไทยได้มีการออกกฎหมายดังกล่าวแล้ว และมีผลบังคับ ใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568
ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร (ร่วมการวิจัยและพัฒนา) มีจำนวน 5,227ล้านบาท ปรับตัวสูงขึ้น 22.9% จากปีก่อนหน้า โดยมีสาเหตุหลักจากค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนาเพิ่มขึ้นตามทิศทางเชิงกลยุทธ์เพื่อขยายขีดความสามารถด้านบุคลากรและเทคโนโลยีเพื่อเสริมสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน ทั้งนี้บริษัทฯ สามารถควบคุ้มค่าใช้จ่ายในส่วนการขายและการบริหารได้ดี ส่งผลให้มีสัดส่วนค่าใช้จ่ายประเภทดังกล่าวต่อร่ายได้รวมลดลงจากปี ที่แล้ว
นอกจากนี้ คณะกรรมการได้มีมติอนุมัติการปิดบริษัท Delta Electronics (Hungary) Kft. บริษัทย่อยในประเทศฮังการีที่บริษัทฯ ถือหุ้นทางอ้อม 100% ผ่าน DET International Holding B.V. เนื่องจากสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจในปัจจุบันส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อแผนการลงทุนในภูมิภาคนี้และการเพิ่มกำลังการผลิตของโรงงานในเมือง Dubnica ประเทศสโลวาเกีย มีความเพียงพอต่อความต้องการของภูมิภาคนี้แล้ว ซึ่ง การเลิกกิจการของบริษัทย่อยในคร้ังนี้ไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของบริษัทฯ แต่ประการใด โดยคาดว่าจะดำเนินการจดทะเบียนเลิกบริษัท และชำระบัญชีบริษัทร่วมทุนดังกล่าวแล้วเสร็จในไตรมาสที่ 1/69
ขณะเดียวกันที่ประชุมคณะกรรมการ ได้มีมติอนุมัติการซื้อเครื่องจักรจาก Delta Electronics, Inc (DEI)และDelta Electronics Int’l (Singapore) Pte. Ltd.มูลค่า 506.82 ล้านบาท (หรือประมาณ 15.20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) โดยทำรายการใน ไตรมาส 3/68
ด้านบล.กสิกรไทย เผย DELTA รายงานผลประกอบการไตรมาส 1/2568 ที่แข็งแกร่งเกินคาด โดยมีกำไรปกติ 5.0 พันล้านบาท เติบโต 31% YoY และ 143% QoQ สูงกว่าที่ KS คาด 25% ด้านยอดขายในสกุลดอลลาร์สหรัฐอยู่ที่ 1.2 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 18% จากปีก่อน
อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้นเป็น 25.6% เนื่องจากการเติบโตของผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับ AI และศูนย์ข้อมูล รวมถึงไม่มีการบันทึกค่าใช้จ่ายพิเศษเหมือนในช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่อัตราส่วน SG&A ต่อรายได้ลดลงเหลือ 12.2% จากการลดลงของค่าลิขสิทธิ์ที่จ่ายให้บริษัทแม่และค่าใช้จ่ายด้านกฎหมาย
