HoonSmart.com>>”ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม” (PTTEP) โชว์กำไรไตรมาส 1/68 ที่ 16,560.98 ล้านบาท ลดลง 11.36% จากไตรมาส 1/67 ราคาขายลดลงตามราคาน้ำมันโลก ประกอบกับต้นทุนเพิ่มขึ้น พร้อมคาดปริมาณขายเฉลี่ยไตรมาส 2/68 ที่ 500,000–505,000 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน เพิ่มขึ้นจากไตรมาสแรก กิจกรรมการซ่อมบำรุงตามแผนงานลดลง พร้อมคาดราคาเฉลี่ยน้ำมันดิบดูไบปี 68 อยู่ในช่วง 65–75 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล
บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (ปตท.สผ./PTTEP) รายงานผลดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2568 มีกำไรส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นของบริษัทใหญ่ 16,560.98 ล้านบาท ลดลง 11.36% จากงวดเดียวกันของปี 2567 ที่มีกำไร 18,682.82 ล้านบาท กำไรสุทธิ 4.17 บาทต่อหุ้น ลดลงจากไตรมาส 1 ปี 2567 ที่มี 4.71 บาทต่อหุ้น
นายมนตรี ลาวัลย์ชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ปตท.สผ./PTTEP) กล่าวว่า ผลประกอบการในไตรมาส 1 ปี 2568 ปตท.สผ. มีรายได้รวม 74,196 ล้านบาท (เทียบเท่า 2,185 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) โดยมีปริมาณขายปิโตรเลียมเฉลี่ยอยู่ที่ 484,218 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 2 เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2567 ซึ่งส่วนใหญ่มาจากอัตราการผลิตปิโตรเลียมของโครงการ G1/61 ที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ราคาขายผลิตภัณฑ์เฉลี่ยอยู่ที่ 45.74 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ ปรับตัวลดลงตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก จึงส่งผลให้ไตรมาสที่ 1 นี้ บริษัทมีกำไรสุทธิ 16,561 ล้านบาท (เทียบเท่า 488 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)
จากผลการดำเนินงานดังกล่าว ปตท.สผ. ได้นำส่งรายได้ให้กับรัฐในรูปของภาษีเงินได้ ค่าภาคหลวง และส่วนแบ่งผลประโยชน์อื่น ๆ ในไตรมาส 1 ปี 2568 จำนวนกว่า 6,800 ล้านบาท เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาประเทศด้านต่าง ๆ เช่น การพัฒนาชุมชน การศึกษา และการวิจัยและพัฒนา เป็นต้น นอกจากนี้ รัฐยังได้รับส่วนแบ่งของผลผลิตปิโตรเลียมจากโครงการ G1/61 และ G2/61 ซึ่งอยู่ภายใต้สัญญาแบ่งปันผลผลิต (PSC) เป็นรายได้ทางตรงจากการผลิตปิโตรเลียมที่รัฐนำมาใช้ประโยชน์ในการพัฒนาประเทศอีกส่วนหนึ่งด้วย
ในไตรมาสที่ 1 และในช่วงที่ผ่านมา บริษัทมีความก้าวหน้าในการดำเนินธุรกิจหลายด้าน โดยล่าสุด ปตท.สผ. ได้ลงนามสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติส่วนเพิ่มของแหล่งอาทิตย์ กับ ปตท. ซึ่งเป็นผู้ซื้อ เพื่อเพิ่มปริมาณการขายก๊าซธรรมชาติต่อวันตามสัญญา (Daily Contract Quantity หรือ DCQ) ขึ้นเป็น 330 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน จากเดิมที่ปริมาณ 280 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ซึ่งจะมีผลตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2568 เป็นต้นไป ซึ่งจะช่วยตอบสนองความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติของประชาชน และส่งเสริมการสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศ
นอกจากนี้ ในเดือนเมษายน 2568 ปตท.สผ. ยังได้เข้าซื้อสัดส่วนการถือหุ้นเพิ่มเติมในบริษัท APICO LLC ซึ่งเป็นผู้ร่วมทุนในโครงการสินภูฮ่อม แหล่งปิโตรเลียมบนบกที่สำคัญในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย ส่งผลให้ ปตท.สผ. ถือหุ้นทั้งทางตรงและทางอ้อมในโครงการสินภูฮ่อมเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 90 จากเดิมร้อยละ 80.487 และได้รับปริมาณการผลิตเพิ่มขึ้นตามสัดส่วนการลงทุนที่เพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งในปี 2567 โครงการสินภูฮ่อมมีปริมาณการผลิตก๊าซธรรมชาติเฉลี่ย 105 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน และคอนเดนเสท 222 บาร์เรลต่อวัน
สำหรับการพัฒนาโครงการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture and Storage หรือ CCS) ที่โครงการอาทิตย์ ได้รับการบรรจุอยู่ในแผนปฏิบัติการด้านการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศปี 2564-2573 (Nationally Determined Contribution Action Plan Mitigation 2021-2030) แล้วในปี 2567 ที่ผ่านมา โดยขณะนี้ บริษัทอยู่ระหว่างดำเนินการทำข้อตกลงต่าง ๆ เพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่การตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้าย (FID) โดยคาดว่าจะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ประมาณ 700,000 – 1,000,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี
นอกจากนี้ ปตท.สผ. ยังได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ (MOU) กับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เพื่อส่งเสริมการวิจัยและพัฒนานวัตกรรม เทคโนโลยีขั้นสูง ต่อยอดองค์ความรู้ รวมทั้ง การพัฒนาบุคลากร ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อภาคการศึกษาและภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ รวมถึงจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศต่อไปในอนาคต
ทั้งนี้ ผลประกอบการของบริษัทในไตรมาส 1 ปี 2568 กำไรสุทธิและกำไรจากการดำเนินงานปกติของบริษัทลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2567 เนื่องจากปริมาณขายเฉลี่ยต่อวันปรับตัวลดลง 3% จากไตรมาสก่อนหน้า มาอยู่ที่ 484,218 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน โดยหลักจากการปิดซ่อมบำรุงตามแผนงานของโครงการจี 2/61 และการขายน้ำมันดิบที่ลดลงของโครงการในตะวันออกกลางและแอฟริกา สุทธิกับโครงการในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อื่นและโครงการจี 1/61 ที่มีปริมาณขายเพิ่มขึ้น ในขณะที่ราคาขายเฉลี่ยของบริษัทอยู่ที่ 45.74 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ (ราว 1,555.16 บาท) ซึ่งปรับตัวลดลงเล็กน้อยที่ 0.2%จากไตรมาสก่อนหน้า ประกอบกับต้นทุนต่อหน่วยที่เพิ่มขึ้น 5% มาอยู่ที่ 30.77 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบ (ราว 1,046.18 บาท) เนื่องจากค่าเสื่อมราคา ค่าสูญสิ้น และค่าตัดจำหน่ายที่เพิ่มขึ้น
ในส่วนของฐานะการเงิน ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2568 บริษัทมีสินทรัพย์รวม 29,034 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (987,156 ล้านบาท) และมีหนี้สินรวม 13,385 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (455,090 ล้านบาท) ซึ่งเป็นส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ย 3,882 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (131,988 ล้านบาท)โดยรายงานส่วนของผู้ถือหุ้น 15,649 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (532,066 ล้านบาท) ทำให้อัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้นยังคงอยู่ในระดับดีที่ 0.25 เท่า ซึ่งเป็นไปตามนโยบายทางการเงินของบริษัท
ในไตรมาส 1 ปี 2568 ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยอยู่ที่ 76.94 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าที่ 73.62 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล เนื่องจากอุปสงค์น้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นจากสภาพอากาศที่หนาวเย็นกว่าปกติในยุโรปและอเมริกาเหนือ ประกอบกับอุปทานน้ำมันดิบที่ปรับตัวลดลงจากสถานการณ์ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่มีความรุนแรงเพิ่มขึ้นจากการคว่ำบาตรของสหรัฐอเมริกาต่ออิหร่านและเวเนซุเอลา ปฏิบัติการทางทหารของอิสราเอลต่อกลุ่มฮามาส และการโจมตีทางอากาศในยูเครนและรัสเซีย
ทั้งนี้ ปตท.สผ. คาดการณ์ว่าราคาเฉลี่ยน้ำมันดิบดูไบของปี 2568 จะเคลื่อนไหวอยู่ในช่วง 65–75 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล จากการคาดการณ์อุปสงค์น้ำมันดิบเติบโตระดับปานกลาง โดยยังมีความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจจากความตึงเครียดด้านการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะการเรียกเก็บภาษีศุลกากรของสหรัฐอเมริกา และมาตรการตอบโต้จากประเทศคู่ค้า ซึ่งยังคงเป็นปัจจัยที่กดดันความเชื่อมั่นของตลาด
นอกจากนี้การประกาศแผนยกเลิกการลดกำลังการผลิตของ OPEC+ ซึ่งจะเริ่มมีผลในเดือนเมษายน ส่งผลให้ตลาดคาดการณ์ว่าอุปทานอาจปรับเพิ่มสูงขึ้น และยังคงมีปัจจัยที่ต้องติดตาม ได้แก่ การดำเนินการตามแผนปรับกำลังการผลิตของ OPEC+ ซึ่งอาจส่งผลต่อความสมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทานในตลาดโลก สถานการณ์ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างรัสเซีย-ยูเครน และอิสราเอล-กลุ่มฮามาส การคว่ำบาตรของสหรัฐอเมริกาต่ออิหร่านและเวเนซุเอลา นโยบายการค้าของสหรัฐอเมริกาที่
อาจกระทบต่อเสถียรภาพของตลาดพลังงานโลก และแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจในสหรัฐอเมริกา จีน และอินเดีย
พร้อมคาดการณ์ปริมาณขายเฉลี่ยสำหรับไตรมาส 2 ปี 2568 อยู่ที่ประมาณ 500,000–505,000 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1 ปี 2568 โดยหลักจากกิจกรรมการซ่อมบำรุงตามแผนงานที่ลดลงสำหรับโครงการในประเทศไทย และคาดการณ์ปริมาณขายเฉลี่ยสำหรับทั้งปี 2568 อยู่ที่ประมาณ 505,000– 510,000 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน เพิ่มขึ้นจากปี 2567 โดยหลักจากการเพิ่มขึ้นของปริมาณขายในประเทศไทย กล่าวคือการรักษากำลังการผลิตของโครงการจี 1/61(เอราวัณ) ที่ระดับประมาณ 800 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันได้เต็มปี นอกจากนี้ บริษัทได้เข้าซื้อสัดส่วนในโครงการสินภูฮ่อมเพิ่มเติม ส่งผลให้มีสัดส่วนการลงทุนในโครงการเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 80.487 เป็นร้อยละ 90 มีผลตั้งแต่วันที่ 16 เมษายน 2568 อีกทั้ง ยังได้ลงนามในสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติเพิ่มเติมของโครงการอาทิตย์ เพื่อเพิ่มปริมาณการผลิตตามสัญญาฯ จาก 280 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน สู่ระดับ 330 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน โดยจะมีผลตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2568 เป็นต้นไป
ราคาก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์หลักของบริษัทนั้น มีโครงสร้างราคาส่วนหนึ่งผูกกับราคาน้ำมันย้อนหลัง 3–21 เดือน บริษัทคาดว่าราคาขายก๊าซธรรมชาติเฉลี่ยสำหรับไตรมาส 2 ปี 2568 และทั้งปี 2568 จะอยู่ที่ประมาณ 5.8 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อล้านบีทียู ลดลงเล็กน้อยจากปีก่อนหน้า
ขณะที่ราคาน้ำมันดิบของบริษัทจะผันแปรตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก บริษัทมีการเข้าทำสัญญาประกันความเสี่ยงราคาน้ำมัน โดย ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2568 มีปริมาณน้ำมันคงเหลือภายใต้การประกันความเสี่ยงดังกล่าว จำนวน 2.5 ล้านบาร์เรล ทั้งนี้ บริษัทมีความยืดหยุ่นในการปรับแผนการประกันความเสี่ยงราคาน้ำมันตามความเหมาะสม
ด้านต้นทุนสำหรับไตรมาส 2 ปี 2568 และทั้งปี 2568 ปตท.สผ. คาดว่าต้นทุนต่อเฉลี่ยหน่วยจะอยู่ประมาณ 30 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล เทียบเท่าน้ำมันดิบ ซึ่งไม่ได้เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับปี 2567
