HoonSmart.com>>กรมธนารักษ์ยุคใหม่ “เอกนิติ”พลิกบทบาทก้าวสู่ “กรมเพิ่มมูลค่าและคุณค่าทรัพย์สินของแผ่นดิน” ใช้ AI ประเมินราคาที่ดินทั่วไทย ลดส่วนต่างราคาประเมินกับตลาดไม่เกิน 15% จากปัจจุบัน 30-40% เพิ่มรายได้แผ่นดิน เพิ่มหลักประกันขอสินเชื่อ โดยเฉพาะซื้อบ้านเพิ่มโอกาสอนุมัติ ปัดฝุ่นใช้ประโยชน์ หารายได้แชร์ริ่งผู้เช่า เพิ่ม ROE 20% จากที่ดินเชิงพาณิชย์ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน ส่งเสริมสิ่งแวดล้อม-วัฒนธรรม เดินหน้าสู่ความยั่งยืนในทุกมิติ

วันที่ 21 เมษายน 2568 นาย เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมธนารักษ์ ประกาศยุทธศาสตร์และบทบาทใหม่ของกรมธนารักษ์ ในการเพิ่มมูลค่าและคุณค่าทรัพย์สินของแผ่นดิน ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ยกระดับคุณภาพชีวิตให้พี่น้องประชาชน ส่งเสริมสิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรม เดินหน้าประเทศไทยสู่ความยั่งยืน ผ่านกลยุทธ์ “VALUE” เพื่อให้เกิดการนำทรัพย์สินของแผ่นดินที่กรมฯ รับผิดชอบ ทั้งที่ราชพัสดุและเหรียญกษาปณ์ มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งในมิติเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรม พร้อมยกระดับการทำงานด้วยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เพื่อช่วยจัดการวิเคราะห์ฐานข้อมูลให้มีประสิทธิภาพ สะดวก รวดเร็ว แม่นยำ และโปร่งใส
นายเอกนิติ เปิดเผยว่า กรมธนารักษ์กำลังเร่งปรับปรุงกระบวนการการประเมินราคาที่ดินทั่วประเทศ ที่จะประกาศรอบใหม่ในปี 2569 โดยตั้งเป้าให้ราคาประเมินสอดคล้องกับความเป็นจริงมากที่สุด ราคาประเมินที่ดินของกรมฯกับราคาตลาด ไม่เกิน 15% ซึ่งเป็นไปตามกฎหมาย จากปัจจุบันยังมีช่องว่างสูงสุด 30-40% เบื้องต้นจะนำเทคโนโลยีดิจิทัล และระบบ AI เข้ามาช่วยเสริมประสิทธิภาพการทำงาน รวมถึงจะมีการเชื่อมมโยงข้อมูลกับหน่วยงานต่างๆ เช่น สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ และธนาคารพาณิชย์ เนื่องจากมีการประเมินราคาสินทรัพย์และที่ดินในปัจจุบัน ซึ่งจะช่วยให้ข้อมูลมีความแม่นยำมากขึ้น ทั้งนี้จะมีการประเมินต้นแบบ 2 แห่ง ได้แก่ จังหวัดนครนายก และกรุงเทพฯ คาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ภายใน ก.ย.68 หลังจากนั้นจะทยอยใช้ให้ครบทุกพื้นที่ทั่วประเทศ
การเพิ่มราคาประเมินที่ดินของกรมธนารักษ์ ช่วยเพิ่มมูลค่าทรัพย์สินของแผ่นดิน และยังช่วยเพิ่มความสามารถในการขอสินเชื่อ ซึ่งส่วนใหญ่ใช้ที่ดินเป็นหลักประกัน รวมถึงยังมีส่วนช่วยอนุมัติสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยได้ด้วย เนื่องจากราคาบ้านสอดคล้องกับสินเชื่อที่ต้องการ และลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการขอสินเชื่อลงด้วย เนื่องจากไม่ต้องว่าจ้างบริษัทประเมินอิสระในการประเมินราคาทรัพย์สิน เพราะสามารถใช้ราคาที่ดินของกรมธนารรักษ์อ้างอิงมูลค่าสินเชื่อที่สนับสนุนได้
นอกจากนี้กรมธนารักษ์ ยังตั้งเป้าหมายเพิ่มรายได้และอัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ ( ROA) สำหรับที่ราชพัสดุเชิงพาณิชย์ให้สูงขึ้น 20% หรือประมาณ 2,000 ล้านบาทของเป้าหมายในการจัดเก็บในปีงบประมาณ 2568 อยู่ที่ 1.1 หมื่นล้านบาทภายในปี 2569 ภายใต้ยุทธศาสตร์ในการเพิ่มมูลค่าและคุณค่าทรัพย์สินของแผ่นดิน ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ยกระดับคุณภาพชีวิต ส่งเสริมสิ่งแวดล้อมและวัฒนาธรรม
“วิธีเพิ่ม ROA เราดูสัญญา บางพื้นที่เช่ามานาน 20 ปี ไม่เคยปรับราคาขึ้นเลย ทั้งที่เมืองพัฒนาไปมาก จะต้องทบทวนสัญญาเช่า ปรับให้สอดคล้องกับความเป็นจริงให้มากที่สุด นอกจากนี้ที่ว่างเปล่าถูกครอบครองโดยการเมือง ส่วนราชการ ไม่ได้ใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ ก็จะต้องคายออกมา ผ่านวิธีการต่างๆ เช่น การให้ผลประโยชน์แก่กรมธนารักษ์ผ่านส่วนแบ่งรายได้หรือแชร์ริ่ง ซึ่งได้ดำเนินการไปแล้ว กับ บริษัท ท่าอากาศยานไทย (AOT) แต่กรมฯจะมีรายได้เพิ่มเท่าไร จะต้องรอดูรายได้ของ AOTที่เติบโต”นายเอกนิติกล่าว
สำหรับผลการดำเนินงานในช่วง5 เดือนที่ผ่านมา (ต.ค. 2567-ก.พ.2568) ธนารักษ์จัดเก็บรายได้สูงกว่าปีก่อน 13% และสูงกว่าเป้าหมายที่กระทรวงการคลังตั้งไว้ 9.2% จากการบริหารสัญญาค่าเช่าที่ดินราชพัสดุ เป็นต้น และเป็นการเพิ่มขึ้นตามฤดูกาลในเดือนมี.ค.ของทุกปี และยังมีความสามารถเพิ่มรายได้ได้อีกมาก ปัจจุบันมีที่ดินราชพัสดุ 12.6 ล้านไร่ โดยแบ่งเป็นพื้นที่ความมั่นคง 2.6 ล้านไร่ และอีก 10.48 ล้านไร่ เป็นพื้นที่ที่ส่วนราชการครอบครอง ซึ่งมีพื้นที่ประมาณ 1 ล้านไร่ ที่ยังไม่มีการบริหารให้มีประสิทธิภาพ ก็จะมีการเข้าไปดูเพื่อให้สามารถสร้างผลตอบแทนได้มากขึ้น ซึ่งอาจจะต้องมีการวางยุทธศาสตร์หรือกลยุทธ์ในการดำเนินการ เพื่อให้มีการดำเนินงานมีประสิทธิภาพมากที่สุด
การดำเนินงานของกรมธนารักษ์ยุคใหม่ ได้นำทุกมิติของบริบทโลกที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ทั้งเรื่องปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาสังคม และปัญหาสิ่งแวดล้อม มาวางกลยุทธ์และตั้งเป้าหมาย เพื่อให้การปฏิบัติภารกิจหน้าที่ของหน่วยงานก้าวทันกับความเปลี่ยนแปลงต่างๆที่เกิดขึ้น โดยใช้กลยุทธ์ ‘VALUE’ ประกอบด้วย 5 เสาหลัก ดังนี้
เสาที่ 1 V : Value กลยุทธ์เพิ่มมูลค่าและคุณค่าที่ราชพัสดุโดยจัดทำ Master Plan เพื่อพัฒนาพื้นที่แบบองค์รวม เพื่อให้การจัดประโยชน์ใช้ที่ราชพัสดุเหมาะสมกับภาวะเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรมในแต่ละพื้นที่ โดยในปี 2568 นี้ จะมีการทำพื้นที่ทดลอง Sandbox ในจังหวัดนครนายก หรือ นครนายกโมเดล เพื่อเป็นพื้นที่ต้นแบบ นอกจากนั้น จะมีการประสานงานกับหน่วยงานที่ครอบครอง ที่ราชพัสดุด้วยการเพิ่มมูลค่าการใช้ประโยชน์ที่ดินให้เต็มศักยภาพ ทั้งนี้กรมธนารักษ์ได้ตั้งเป้าเพิ่มรายได้และROA ในส่วนของที่ราชพัสดุเชิงพาณิชย์ให้สูงขึ้น 20% ภายในปี 2569
เสาที่ 2 A : Appraise กลยุทธ์เพิ่มความแม่นยําในการประเมินราคาที่ดินด้วยการพัฒนาฐานข้อมูลการประเมินราคาให้สอดคล้องกับราคาตลาดและเป็นธรรม โดยมีการนำเทคโนโลยีที่เหมาะสมมาใช้ ในการประเมินราคาที่ดินเพื่อเพิ่มความถูกต้อง ทั้งนี้ กรมฯ ตั้งเป้าที่จะลดความต่างระหว่างราคาประเมินและราคาตลาดให้เหลือไม่เกิน 15% ภายในปี 2569 นอกจากนี้ กรมฯ จะพัฒนาระบบสืบค้นราคาประเมินที่ดินออนไลน์ เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถค้นหาข้อมูลราคาประเมินได้ง่าย สะดวก และรวดเร็ว
เสาที่ 3 L : Legacy กลยุทธ์เพิ่มคุณค่าทางประวัติศาสตร์ให้เหรียญกษาปณ์และพิพิธภัณฑ์ของกรมธนารักษ์ โดยจะมีการยกระดับการผลิตและจำหน่ายเหรียญกษาปณ์ให้เป็นมาตรฐานสากลและพัฒนาตลาดรองเพื่อเพิ่มมูลค่าเหรียญกษาปณ์ให้ตรงตามความต้องการของนักสะสมเหรียญ และนำแนวคิด ESG มาใช้ในกระบวนการผลิตเหรียญกษาปณ์เพื่อตอบโจทย์สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล นอกจากนี้ จะมีการบูรณาการร่วมกับชุมชนเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเรียนรู้เชิงประวัติศาสตร์และอนุรักษ์วัฒนธรรม รวมถึงส่งเสริมให้พิพิธภัณฑ์ของกรมฯ สามารถช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจชุมชน ยกระดับคุณภาพชีวิตพี่น้องประชาชนในพื้นที่และละแวกใกล้เคียง
เสาที่ 4 U : Unity กลยุทธ์ความเป็นหนึ่งเดียวของบุคลากร ส่งเสริมบุคลากรของกรมธนารักษ์ ให้ เก่ง ดี และมีความสุข ด้วยการเพิ่มเติมทักษะที่จำเป็นทั้งในเรื่องงาน Current Skill และ Future Skill จัดตั้งโรงเรียนธนารักษ์ออนไลน์ ส่งเสริมให้บุคลากรของกรมธนารักษ์เป็นคนดี ผ่านการนําองค์กรคุณธรรมมาใช้ เพื่อให้เกิดความโปร่งใส ซื่อสัตย์ ตรวจสอบได้ และยังส่งเสริมบุคลากรของกรมธนารักษ์ให้มีความสุข มีการสร้างองค์กรรมนียสถานที่เอื้อต่อการทํางาน และสนับสนุนการทำงานให้มีประสิทธิภาพ
เสาที่ 5 E : Efficiency กลยุทธ์เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและการให้บริการประชาชน ด้วยการปรับกระบวนการทํางานให้คล่องตัวแบบ Agile และการนำเทคโนโลยีดิจิทัล การวิเคราะห์ข้อมูล และเอไอ (Digital, Data, AI) มาใช้ในการทำงาน โดยในปี 2568 นี้จะมีการพัฒนา ‘น้องรักษ์’ ซึ่งเป็นระบบ AI มาเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเจ้าหน้าที่และยกระดับการให้บริการประชาชน ให้สะดวกและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น รวมทั้งจะมีการปรับปรุงกฎหมายและกฎระเบียบ รวมถึงลดขั้นตอนการทำงานต่างๆที่ไม่จำเป็น พร้อมทั้ง จะมีการกระจายอำนาจให้ธนารักษ์ภาค เพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น
สำหรับการดำเนินกลยุทธ์ดังกล่าวในปีนี้ กรมธนารักษ์จะพัฒนาโครงการต้นแบบในรูปแบบต่างๆ อาทิ 1) โครงการธนารักษ์เอื้อราษฎร์ต้นแบบ โดยมีชุมชนเป็นแกนกลางเพื่อส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน 2) โครงการร่วมมือกับกระทรวงสาธารณสุขเพื่อนำที่ราชพัสดุมาใช้ประโยชน์ในการให้บริการทางการแพทย์แก่ประชาชน 3) โครงการต้นแบบพัฒนาอาคารเชิงอนุรักษ์วัฒนธรรมเช่น โครงการพิพิธตลาดน้อยที่ดำเนินการเสร็จไปแล้ว 4) โครงการต้นแบบพลังงานสะอาด อาทิ การทำฟาร์มพลังงานแสงอาทิตย์ ในที่ราชพัสดุ การติดตั้งพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาอาคาร เป็นต้น
“ด้วยยุทธศาสตร์และกลยุทธ์ที่กรมธนารักษ์ตั้งใจจะขับเคลื่อนนี้ จะเป็นการวางรากฐานสำคัญในการเพิ่มมูลค่าและคุณค่าทรัพย์สินของแผ่นดิน เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ยกระดับคุณภาพชีวิตให้พี่น้องประชาชน ส่งเสริมสิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรม สร้างความยั่งยืนต่อไป” นายเอกนิติกล่าว
