HoonSmart.com>>ธนาคารกรุงไทย เปิดกำไร ไตรมาส1/68 อยู่ที่ 11,713.69 ล้านบาทเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนที่ 11,675.95 ล้านบาท เดินหน้ายุทธศาสตร์เติบโตอย่างมั่นคง บริหารจัดการสินทรัพย์อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมรักษา Coverage Ratio ในระดับสูงที่ 187.7% รองรับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ
ธนาคารกรุงไทย (KTB) รายงานผลประกอบการงวดไตรมาส 1 ปี 2568 มีกำไรสุทธิ 11,713.69 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากช่วงเดียวกันของปี 2567 ที่มีกำไรสุทธิ 11,675.95 ล้านบาท จากการขยายตัวของรายได้ผลิตภัณฑ์บริหารความเสี่ยงทางการเงิน การลงทุน และกำไรจากเงินลงทุน มีกำไรสุทธิต่อหุ้น 0.84 บาท ซึ่งเป็นระดับเดียวกับปีที่ผ่านมา
ไตรมาส 1 ฝ่าความท้าทายเศรษฐกิจรุนแรง
ธนาคารกรุงไทย รายงานว่า เศรษฐกิจไทยเผชิญความท้าทายรอบด้านที่รุนแรงขึ้น โดยเฉพาะสงครามการค้าระลอกใหม่ที่ยกระดับขึ้น หลังสหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้าจากประเทศคู่ค้า รวมถึงไทย ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคการส่งออก และผลกระทบทางอ้อมจากสินค้าจีนที่จะทะลักเข้ามาตีตลาดไทยมากขึ้น
ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจไทยที่ยังคงมีความเปราะบางจากปัญหาเชิงโครงสร้าง หนี้ครัวเรือนและเศรษฐกิจนอกระบบที่อยู่ในระดับสูง ธุรกิจ SME มีข้อจำกัดในการปรับตัว รวมถึงผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ผ่านมา
อย่างไรก็ดี ภาคการท่องเที่ยวยังคงเป็นเครื่องยนต์หลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ อีกทั้งมีแรงสนับสนุนจากนโยบายภาครัฐ ทั้งมาตรการลดค่าครองชีพ และมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อผู้บริโภคที่จะมีเพิ่มเติมในระยะข้างหน้า
ธนาคารดำเนินธุรกิจอย่างระมัดระวังและรอบคอบ เตรียมพร้อมรับมือความไม่แน่นอน โดยให้ความสำคัญกับการช่วยเหลือลูกค้าทุกกลุ่มให้สามารถปรับตัวเดินหน้าต่อไปได้ และสร้างโอกาสจากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น พร้อมสนับสนุนนโยบายการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของภาครัฐอย่างต่อเนื่อง
ล่าสุด ธนาคารได้ออกมาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวอย่างเร่งด่วน เพิ่มเติมจากมาตรการช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม และร่วมขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนผ่านโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” โครงการ สินเชื่อรวมหนี้ข้าราชการยั่งยืน สินเชื่อกรุงไทยรวมหนี้ (ภาคประชาชน) และ สินเชื่อกรุงไทยบ้านแลกเงินซึ่งช่วยให้ลูกค้าเข้าถึงสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ ลดภาระทางการเงิน เสริมสภาพคล่องการทำธุรกิจ และเพิ่มความคล่องตัวในการดำรงชีพ ตามแนวทางการให้สินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม (Responsible Lending) ของธนาคารแห่งประเทศไทย
ยืน Coverage Ratio สูงรับความผันผวน
ผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 1 ปี 2568 ธนาคารดำเนินการตามยุทธศาสตร์มุ่งเน้นการเติบโตอย่างยั่งยืน บริหารจัดการคุณภาพสินทรัพย์อย่างระมัดระวัง และเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ รักษา Coverage Ratio ในระดับสูงอย่างต่อเนื่องที่ 187.7% เพื่อรองรับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ
ขณะเดียวกัน ธนาคารบริหารจัดการค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ โดยมี Cost to Income ratio เท่ากับ 40.4% ธนาคารมีการตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในระดับที่เหมาะสมและพอเพียง ซึ่งอยู่ในระดับใกล้เคียงกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
กด NPL อยู่หมัด
ธนาคารมีสินเชื่อด้อยคุณภาพอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ดีที่ 95,017 ล้านบาท และมี NPL Ratio 2.97% ลดลงจาก 2.99% จากสิ้นปีที่ผ่านมา สะท้อนถึงความสามารถในการบริหารจัดการ Portfolio ได้อย่างสมดุลท่ามกลางสถานการณ์ที่ผันผวน
เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/2567 กำไรส่วนที่เป็นของธนาคารเพิ่มขึ้นเล็กน้อย รายได้ขยายตัวจากผลิตภัณฑ์บริหารความเสี่ยงทางการเงิน การลงทุน และกำไรจากเงินลงทุน ซึ่งสะท้อนสภาวะตลาด
โดยค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานลดลง 6.5% จากการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายโดยรวมอย่างมีประสิทธิภาพ และบางส่วนจากการลดลงของค่าใช้จ่ายตามฤดูกาล
ณ วันที่ 31 มีนาคม 2568 ธนาคาร (งบการเงินเฉพาะธนาคาร) มีเงินกองทุนชั้นที่ 1 และมีเงินกองทุนทั้งสิ้นที่ 18.17% และ 21.14% ของสินทรัพย์ถ่วงน้ำหนักตามความเสี่ยง ตามลำดับ ซึ่งอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งเมื่อเทียบกับเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รวมถึงมีสภาพคล่องในระดับที่เพียงพอ โดยรักษาระดับของ Liquidity Coverage Ratio (LCR)อย่างต่อเนื่อง สูงกว่าเกณฑ์ที่ ธปท.กำหนด
เครดิตเรทติ้งเพิ่ม
ในวันที่ 19 มีนาคม 2568 บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ S&P Global Ratings ได้ประกาศปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือระดับสากลของธนาคารทั้งระยะยาว/ระยะสั้น เป็น BBB/A-2 จาก BBB-/A-3 และปรับเพิ่มอันดับความแข็งแกร่งทางการเงิน (Stand-Alone Credit Profile) เป็น bb+จาก bb โดยพิจารณาถึงความสามารถในการทำกำไร (profitability) ที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง การบริหารคุณภาพสินทรัพย์อย่างระมัดระวัง และสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งในปี 2568
โตอย่างยั่งยืน
ในปี 2568 ธนาคารมุ่งมั่นขับเคลื่อนองค์กรภายใต้แนวคิด “Corporate Value Creation เสริมทักษะ สร้างคุณค่า สู่อนาคต” เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ ผ่าน 5 ยุทธศาสตร์หลัก ที่มุ่งเน้นการเพิ่มรายได้ ลดต้นทุน บริหารจัดการความเสี่ยงจากคุณภาพสินเชื่อ เพิ่มขีดความสามารถและประสิทธิภาพของพนักงาน ซึ่งเป็นหัวใจขององค์กร
ธนาคารให้ความสำคัญกับการสร้าง Value ใน 5 ระบบนิเวศที่สามารถพัฒนาได้อย่างเต็มศักยภาพ พร้อมต่อยอดแพลตฟอร์มเดิมและเปิดตัวแพลตฟอร์มใหม่เพื่อสร้างการเติบโตในอนาคต
นอกจากนี้ ยังมีการยกระดับวิธีการเข้าถึงและบริการลูกค้า รวมถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านไอทีและเทคโนโลยีแห่งอนาคต อีกทั้งยังให้ความสำคัญกับการปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กร เพื่อสร้างรูปแบบใหม่ในการทำงานที่พร้อมตอบโจทย์ สามารถใช้เทคโนโลยีได้อย่างเหมาะสมและคุ้มค่า ซึ่งจะช่วยส่งเสริมการเติบโตที่แข็งแกร่งและยั่งยืน รวมถึงการสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพในอนาคต