‘ทรัมป์’เปิดศึกการค้า รีดภาษีโหด 180 ปท. ไทยเจอ 36% ศก.ส่อติดลบ หุ้นโลกดิ่ง

HoonSmart.com>>”ทรัมป์” ช็อคเศรษฐกิจโลกเสี่ยงถดถอย เงินเฟ้อพุ่ง เจอขึ้นภาษีนำเข้าสหรัฐมากถึง 180 ประเทศ เอเชียโดนรีดหนักเกินคาด ไทยเจอโหด 36% รมว.คลังรับ GDP ส่อวูบ 1% กำลังหาทางเจรจา เงินบาทอ่อนแรงหลุด 34 บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ คาดฉุดเศรษฐกิจ-3.6%เสี่ยง-1.1% กระทบ 7 ธุรกิจ 21 หุ้น บล.ซีจีเอสชี้กำไรต่อหุ้นร่วง 10% หั่นดัชนีเหลือ 1200 หุ้นโลกลงเหวลึก ไทยไม่ถึง -1%อิเล็กฯ-นิคมโดนเต็มๆ ดาวโจนส์ล่วงหน้า-ยุโรปดิ่ง 1,000 จุด ทองคำพุ่ง ไทยปรับ 29 ครั้ง 

วันที่ 3 เม.ย. 2568 เวลา 03.00 น. ตามเวลาประเทศไทย ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศมาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (reciprocal tariffs) ที่จะเรียกเก็บจากกว่า 180 ประเทศและเขตปกครอง ใช้อำนาจฉุกเฉินขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ 10% เรียกเก็บภาษีนำเข้าจาก 60 ประเทศหรือกลุ่มการค้าที่มีการเกินดุลการค้าสูงกับสหรัฐฯ รวมถึงจีนและสหภาพยุโรป ซึ่งจะถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มอีก 34% และ 20% ตามลำดับ ส่วนในภูมิภาคนี้ กัมพูชาโดนหนักที่สุด 49% ไทยเจอ 36% มากกว่าจีนที่ 34% ทำให้ราคาสินค้าแพงขึ้น ส่งผลกระทบต่อเงินเฟ้อ เศรษฐกิจเสี่ยงถดถอย  กดดันตลาดหุ้นโลกร่วงระนาว เงินโยกเข้าลงทุนทองคำดันราคาปรับตัวขึ้นแรงอย่างต่อเนื่อง

แถลงการณ์ นายกรัฐมนตรี แสดงท่าทีไทยต่อนโยบายการค้าสหรัฐฯ ว่าไทยเข้าใจความจำเป็นของสหรัฐฯ ที่ต้องปรับสมดุลการค้ากับคู่ค้าจำนวนมาก สำหรับไทย สหรัฐฯ กำหนดอัตราภาษีนำเข้าต่างตอบแทนที่ 36% มีผล 9 เม.ย. 2568

ไทยเล็งเห็นและได้วางมาตรการบรรเทาผลกระทบต่อผู้ส่งออกที่มีตลาดสหรัฐฯ เป็นตลาดหลัก ในระยะยาว ผู้ประกอบการควรมองหาตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ และลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาตลาดเดียว

คณะทำงานนโยบายการค้าสหรัฐฯ ที่ตั้งขึ้นตั้งแต่ 6 ม.ค. 2568 ได้ใช้เวลาตลอด 3 เดือนจัดเตรียมข้อเสนอที่มีสาระสำคัญเพียงพอที่จะจูงใจให้สหรัฐฯ เจรจากับไทยเพื่อปรับสมดุลการค้า

ไทยมีเจตนารมณ์ที่จะสร้างเสถียรภาพและสมดุลการค้ากับสหรัฐฯ ในระยะยาว ซึ่งหวังอย่างยิ่งว่า สหรัฐฯ จะมองเป้าหมายการสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจร่วมกันในระยะยาว ซึ่งจะช่วยกันลดผลกระทบที่จะเกิดกับภาคธุรกิจและภาคการเกษตรของทั้งสองประเทศ

ทางด้านนายพิชัย ชุณหวิชร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.การคลัง กล่าวภายหลังการประชุมร่วมระหว่างภาครัฐและเอกชนเพื่อรับมือกรณีไทยถูกเก็บภาษีรุนแรง แนวทางแก้ปัญหาเบื้องต้นคือ การทำตัวเป็นคู่ค้าที่ดี โดยต้องมีการปรับสมดุลการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ผ่านการนำเข้าวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้น เช่น ข้าวโพด เพื่อส่งเสริมการส่งออกของไทย ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่ช่วยทำให้ช่องว่างของตัวเลขการเกินดุลทางการค้าระหว่าง 2 ประเทศลดลง

ปัจจุบันไทยได้เปรียบดุลการค้าจากสหรัฐฯ ประมาณกว่า 4 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือราว 1.3-1.4 ล้านล้านบาท ขณะที่ไทยส่งออกไปสหรัฐฯกว่า 6 หมื่นล้านดอลลาร์ ไทยได้ดุลการค้าสหรัฐฯ ถึง 70% จากการส่งออก วิธีที่สร้างสรรค์ เพื่อพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส คือ ไทยต้องนำเข้ามากขึ้น สำหรับสินค้า 2 ส่วนที่มีผลกับดุลการค้า ได้แก่ ภาคเกษตร และภาคอิเล็กทรอนิกส์ สำหรับผลกระทบต่อ GDP ไทยลดลงอย่างน้อย 1% แต่เป็นผลกระทบทั้งโลก

ด้านศูนย์วิจัยกสิกร คาด GDP ไทยปี 68 เสี่ยงโตต่ำกว่า 2% จากภาษีสหรัฐซ้ำเติมแผ่นดินไหว

ส่วนผลกระทบต่อตลาดหุ้นโลกปรับตัวลงแรงกันถ้วนหน้า ญี่ปุ่นจมลึกกว่า -4% ก่อนฟื้นปิดติดลบ -2.77% ส่วนไทยปิดลดลง 10.88 จุด  หรือ 0.98% มูลค่าซื้อขาย 41,064.80 ล้านบาท แม้ว่านักลงทุนต่างชาติขายมากกว่า 2,100  ล้านบาท หุ้น DELTA  ร่วงลงแรง 10.37% หรือ 7 บาท ปิดที่ 60.50  บาท และนิคมอุตสาหกรรม  นำโดย AMATA ดิ่งลงถึง -15.49% ปิดที่ 18 บาท และWHA ทรุด -10.40% ปิดที่ 3.10 บาท กังวลถึงการย้ายฐานการผลิตจากไทย หลังเจอภาษีมากถึง 36%

ขณะที่ตลาดหุ้นยุโรปดิ่งลงแรง1,000 จุด ใกล้เคียงดาวโจนส์ล่วงหน้าทรุดกว่า 1,000 จุด ขณะที่ทองคำปรับตัวขึ้น สมาคมค้าทองคำประกาศราคาซื้อขายในไทย ปรับขึ้นลงถึง 29 ครั้ง สุดท้ายปิดเพิ่มขึ้น 50 บาท

บล.ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเมินสหรัฐฯเก็บภาษีตอบโต้ไทยสูงกว่าคาด อาจกระทบ GDP ไทย 0.9-1.2%  กำไรต่อหุ้นลดลง 10% จึงปรับลดเป้าดัชนี SET ปี 2568 มาที่ 1,200 จุด จากเดิมคาด 1,380 จุด มองลดดอกเบี้ยนโยบาย ช่วยลดผลกระทบ แนะลงทุนในหุ้นปลอดภัยที่เน้นธุรกิจในประเทศ-หุ้นปันผลสูง หุ้น Top pick ประกอบด้วย BH, CBG, CPALL, CPN, HANA, KTB, MINT, MTC, PTTEP, SCB, PR9, SIRI

บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ คาดภาษีที่ถูกเก็บเพิ่มขึ้นถึง 36% ฉุดเศรษฐกิจไทย-3.6% มีความเสี่ยงว่าปีนี้จะหดตัว-1.1%  หากไม่ได้รับการแก้ไข รวมถึงการปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย โดยประเมินว่ากระทบต่อ 7 อุตสาหกรรม  อาทิ  ยานยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์,อิเล็กทรอนิกส์ ยางและถุงมือยาง  สินค้าเกษตร  ส่วนธนาคาร มีผลต่อสินเชื่อและคุณภาพสินทรัพย์เล็กน้อย  ทำให้กระทบต่อหุ้นจำนวน 21 ตัว

นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ กล่าวว่าตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียต่างปรับตัวลงกันทั่วหน้า และดาวโจนส์ฟิวเจอร์สก็ร่วงไปราว 1,000 จุด ชัดเจนเงินโยกออกจากสินทรัพย์เสี่ยงไหลเข้าสินทรัพย์ปลอดภัย ทั้งทองคำ, พันธบัตร หลังสหรัฐฯประกาศมาตรการภาษีตอบโต้  อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นไทย และ Emerging Market ต่างก็ปรับตัวลงน้อยกว่าตลาดของประเทศพัฒนาแล้ว

แนวโน้มวันพรุ่งนี้ (4 เม.ย.) ขึ้นอยู่กับทิศทางตลาดสหรัฐคืนนี้ โดยมีแนวรับ 1,140-1,150 จุด แนวต้าน 1,170-1,180 จุด