HoonSmart.com>>บล.ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเมินสหรัฐฯเก็บภาษีตอบโต้ไทยสูงกว่าคาด อาจกระทบ GDP ไทย 0.9-1.2% EPS 10% จึงปรับลดเป้าดัชนี SET ปี 68 มาที่ 1,200 จุด จากเดิมคาด 1,380 จุด มองลดดอกเบี้ยนโยบาย ช่วยลดผลกระทบแนะลงทุนในหุ้นปลอดภัยที่เน้นธุรกิจในประเทศ-หุ้นปันผลสูง หุ้น Top pick ประกอบด้วย BH, CBG, CPALL, CPN, HANA, KTB, MINT, MTC, PTTEP, SCB, PR9, SIRI
ฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) หรือ CGSI ระบุในบทวิเคราะห์ ว่า ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯประกาศเก็บ “ภาษีพื้นฐาน” (baseline tariff) ในอัตรา 10% จากสินค้าทั้งหมดที่นำเข้ามาในประเทศสหรัฐ พร้อมปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากหลายประเทศทั่วโลก เช่น จีนในอัตรา 34%, สหภาพยุโรป (EU) 20%, เวียดนาม 46%, ไต้หวัน 32% และไทย 36% ตามรายงานข่าวของ CNBC
ทำเนียบขาวประเมินว่า อัตราภาษีของไทยรวมมาตรการกีดกันทางการค้าที่มิใช่ภาษีต่อสินค้าสหรัฐฯอยู่ที่ 76% ส่วน Yahoo Finance ประมาณการว่าสหรัฐฯเก็บภาษีตอบโต้ (reciprocal tariff) สินค้านำเข้าจากไทย 36% ขณะที่ Reuters รายงานว่าอัตราภาษีใหม่จะมีผลวันที่ 9 เม.ย.2568 และจะเก็บจากประเทศต่างๆประมาณ 60 ประเทศ ส่วนอัตราภาษีพื้นฐาน 10% จะมีผลวันที่ 5 เม.ย.2568
ฝ่ายวิเคราะห์ฯ ระบุว่า รัฐบาลไทยคาดการณ์ว่า reciprocal tariff จะกระทบมูลค่าการส่งออกสินค้าของไทยประมาณ 7-8 พันล้านเหรียญสหรัฐ ประมาณ 240,000-280,000 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นประมาณ 13-15% ของมูลค่าการส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ หรือ 2.3% ของมูลค่าการส่งออกของไทยในปี 2567 ขณะที่รัฐบาลมีแผนนำเข้าสินค้าเกษตรและพลังงานจากสหรัฐฯมากขึ้น รวมทั้งส่งเสริมให้บริษัทไทยเข้าไปลงทุนในสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิเคราะห์ฯมองว่า การปรับลดภาษีนำเข้าสินค้าเกษตรอาจทำได้ยาก เพราะรัฐบาลต้องปกป้องผลประโยชน์ของเกษตรกรในประเทศ
ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI ระบุว่า หากตั้งสมมติฐานว่าภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯทำให้มูลค่าการส่งออกสินค้าและมูลค่าการนำเข้าสินค้าของไทยลดลง 10% YoY ในปี 68 ผลลบสุทธิต่อ GDP ไทยน่าจะมีประมาณ 0.5% อย่างไรก็ตามเมื่อมูลค่าการส่งออกสินค้าลดลงก็มักจะฉุดการบริโภคภาคเอกชนลดลงตาม โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อยอย่างเช่นพนักงานโรงงานที่อาจไม่ต้องทำงานล่วงเวลา ซึ่งส่วนนี้น่าจะส่งผลกระทบต่อ GDP ประมาณ 0.4- 0.7% ดังนั้นเมื่อรวมผลกระทบจากทั้งสองส่วน เชื่อว่าผลกระทบโดยรวมต่อ GDP ไทยในปี 68 น่าจะอยู่ที่ 0.9-1.2% หากปัจจัยอื่นไม่เปลี่ยนแปลง
ฝ่ายวิเคราะห์ CGSI มองว่า ผลกระทบที่แท้จริงจาก reciprocal tariff ของสหรัฐฯอาจรุนแรงกว่าที่คาดการณ์ไว้ จึงประมาณการว่ากำไรต่อหุ้นหรือ EPS ของตลาดหุ้นไทยน่าจะได้รับผลกระทบประมาณ 10% จึงปรับลดเป้าดัชนี SET สิ้นปีนี้จากเดิม 1,380 จุด (P/E 14 เท่า ในปี 69) มาที่ 1,200 จุด ซึ่งยังเท่ากับ P/E 13.4 เท่า ในปี 68 หรือ -1SD ของค่าเฉลี่ย 10 ปี แนะนำให้ลงทุนในหุ้นปลอดภัยที่เน้นธุรกิจในประเทศ (domestic defensive) และหุ้นปันผลสูงหุ้น Top pick ประกอบด้วย BH, CBG, CPALL, CPN, HANA, KTB, MINT, MTC, PTTEP, SCB, PR9 และ SIRI
“มาตรการภาษีของสหรัฐฯส่งผลกระทบต่อไทยรุนแรงกว่าคาดและความไม่แน่นอนทางการเมืองเป็น downside risk ส่วนการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐอาจช่วยหนุน SET”