HoonSmart.com>> ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ หรือ TISCO ESU ระบุว่า 2 เม.ย.นี้จะรู้ผลว่า”จีดีพี”ไทยปี 2568 จะไหลรูดลงไปอยู่ที่ 2.1%! หากสหรัฐขึ้นภาษีการค้าไทย 5%? กระทบ FDI อาจเปลี่ยนใจไม่ลงทุน คาดปีนี้บาทแข็งถึง 33-33.5 ต่อเหรียญ จากทองคำราคาพุ่ง และเงินปริศนาไหลเข้าก้อนใหญ่กว่าดุลบัญชีเดินสะพัด ตามไม่เจอเข้ามาเพื่ออะไร ถูกบุคไว้เป็น Net errors and omissions
นายเมธัส รัตนซ้อน นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) กล่าวว่า จากความเสี่ยงของสงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงขึ้น และตัวเลขนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาในไทยค่อนข้างน้อย จากเหตุการณ์ที่มีนักท่องเที่ยวถูกจับตัว ทำให้สังคมจีนมีการเตือนระวังการเข้ามาเที่ยวไทย ซึ่งยังไม่เห็นว่ารัฐบาลออกมาตรการใดเพื่อเรียกความเชื่อมั่น โดย 2 เดือนมีนักท่องเที่ยวเข้ามาในไทยไม่ถึง 6 ล้านคน ซึ่งห่างไกลเป้าหมายทั้งปีที่วางไว้ 38 ล้านคน จึงได้ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจไทย (GDP) ในปีนี้ลงมาอยู่ที่ 2.8% จากเดิมที่คาดไว้ 3.0%
นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของการขึ้นภาษีการค้าที่ประกาศในวันที่ 2 เมษายนนี้ ทางสหรัฐอเมริกา จะขึ้นภาษีไทยเท่าไหร่ ซึ่งปัจจุบันไทยเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐอเมริกา 6% ในขณะที่สหรัฐฯเก็บภาษีนำเข้าจากไทย 1% มีส่วนต่างอยู่ 5% หากสหรัฐอเมริกา เก็บภาษีนำเข้าจากไทยเพิ่มเป็น 5% จะกระทบเศรษฐกิจไทย 0.35%-0.50% รวมกับความเสี่ยงจากการที่นักท่องเที่ยวหายไป ซึ่งประเมินไว้ลดต่ำกว่าเป้า 2 ล้านราย จะกระทบเศรษฐกิจไทย 0.20% จะทำให้เศรษฐกิจไทย หรือ จีดีพี ในปี 2568 โตได้เพียง 2.1% เท่านั้น
กรณี สหรัฐฯขึ้นภาษีการค้าไทย จะกระทบต่อสินค้าอิเล็กทรอนิกส์มากที่สุด เพราะมีการส่งออกสูงสุด ตามด้วยเครื่องจักร ยางพารา ยางรถยนต์ ประกอบกับมีสินค้าล้นตลาดจากจีนเข้ามาตีตลาดในไทย จะทำให้โรงงานในไทยต้องลดการผลิตลง จะกระทบต่อการจ้างงาน และอาจนำไปสู่การปิดโรงงานในอนาคต ซึ่งจากการเก็บข้อมูลตั้งแต่ปี 2564-2567 สินค้าที่ยอดผลิตลดลง ประกอบด้วย เฟอร์นิเจอร์ คอมพิวเตอร์ เลนส์แว่นตา เสื้อผ้า รถยนต์ รวมถึงบุหรี่ ที่ถูกบุหรี่ไฟฟ้าเข้ามาตีตลาด
นอกจากนี้ อาจกระทบต่อการตัดสินใจลงทุนของนักลงทุนที่ได้ขอสิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อการลงทุน หรือ เงินลงทุนทางตรง (FDI) ทั้งกลุ่มที่ลงทุนของสหรัฐอเมริกาในไทย ที่อาจจะทบทวนความคุ้มค่าการลงทุนในไทย? กับการย้ายไปผลิตที่สหรัฐอเมริกา โดยใช้หุ่นยนต์ผลิตและขายที่ไม่ต้องถูกเก็บภาษีนำเข้า อาจมีต้นทุนที่ถูกกว่าผลิตในไทย กับนักลงทุนรายใหม่ที่อยู่ในขั้นตอนการเตรียมการต่างๆ อาจจะชะลอการลงทุนหรือยกเลิกการลงทุนไปเลย? โดยเฉพาะสินค้าที่มีความซับซ้อนในการผลิต หรือ ผลิตยาก เช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิคส์ขั้นสูง เซมิคอนดักเตอร์ หรือ อุปกรณ์โทรศัพท์ แผงวงจรไฟฟ้า โซลาเซลล์
ขณะที่การส่งออก มองว่าปี 2568 ไทยจะส่งออกจะโตประมาณ 2% ซึ่งยังไม่รวมปัจจัยหากสหรัฐฯขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าไทย เพราะคาดว่าเศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวจากการที่สหรัฐฯจะขึ้นภาษีการค้าประเทศอื่นๆ ที่จะประกาศในวันที่ 2 เม.ย.นี้ และมีการนำเข้าสินค้ามากขึ้น จะเห็นว่าในปีที่ผ่านมาการเติบโตของนำเข้าสินค้าสูงกว่าส่งออก
ทอง-เงินลึกลับทำบาทแข็ง
ขณะที่ ค่าเงินบาทไม่ได้อ่อนตามคาด หลังจากที่สหรัฐฯมีการขึ้นภาษีการค้า กลับแข็งค่าสูงขึ้นผลจากราคาทองคำมีการขยับเพิ่มสูงขึ้น และเงินที่ไหลเข้ามา ซึ่งหาที่มาของเงินไม่ได้ว่ามาจากไหน และเข้ามาทำอะไรในประเทศไทย ซึ่งล่าสุดมีขนาดใหญ่เกินกว่าดุลบัญชีเดินสะพัด ที่ได้จากการค้าขายกับต่างชาติ ที่ผ่านมาเวลาบาทแข็งจะได้เงินเข้ามาจากการค้าขาย และการท่องเที่ยว แต่ปัจจุบันมีเงินอีกก้อนไหลเข้ามาโดยที่บอกไม่ได้ว่าเข้ามาทำอะไร
ในปีนี้ จึงคาดว่าค่าเงินบาทเฉลี่ยจะอยู่ที่ 33.8 บาทต่อเหรียญสหรัฐจะแข็งค่ากว่าปี 2567 ซึ่งเฉลี่ยอยู่ที่ 35.3 บาทต่อเหรียญสหรัฐฯ การส่งออกของไทยจึงไม่ได้ประโยชน์ โดยคาดว่าไตรมาส 2 มีโอกาสค่าเงินบาทอ่อนก่อน เพราะการท่องเที่ยวซบเซา และการส่งออกมีความเสี่ยงจากการขึ้นภาษีการค้าตั้งแต่ไตรมาส 2 เป็นต้นไป และยังมีเรื่องการโอนเงินปันผลกลับ
“ไตรมาส 2 จะเห็นการอ่อนค่าของค่าเงินบาทก่อน อาจจะถึง 35-35.5 บาทต่อเหรียญสหรัฐ เพราะตลาดจะรอดูว่าจะถูกขึ้นภาษีการค้าไหม เท่าไหร่ แล้วจะตอบโต้อย่างไร ท่าทีของคณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง.จะมีการผ่อนคลายลงไหม ซึ่งอาจเห็นบาทอ่อนไปถึง 36 บาท และช่วงครึ่งหลังของปีค่าเงินจะกลับมาแข็งค่าเมื่อดูจากการที่มีการคาดการณ์กันว่าราคาทองคำจะไปต่อจาก 3,000 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ เพราะความเสี่ยงยังมีอยู่เยอะ แม้กนง.จะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 1-2 ครั้ง เรื่องนี้จะรับข่าวในช่วงไตรมาส 2″นายเมธัส กล่าว
นายเมธัส กล่าวว่า หากเศรษฐกิจไทยยังคงขยายตัวได้ที่ 2.8% คาดว่า กนง. อาจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.00% ตลอดทั้งปี แต่หากได้รับผลกระทบจากการขึ้นภาษีของสหรัฐ และการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวล่าช้า มีโอกาสที่ กนง. จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีกราว 1 – 2 ครั้ง ในปีนี้ หรือลงมาอยู่ที่ 1.50-1.75% ต่อปี โดยขึ้นอยู่กับในระยะข้างหน้าจะมี Negative Shock เข้ามาเพิ่มเติมหรือไม่ โดยต้องจับตารายละเอียดนโยบายสงครามการค้าของสหรัฐฯ ในวันที่ 2 เมษายนนี้