TFM ตั้งเป้า’68 ยอดขายโต 8-10% ปี’73 วางรายได้แตะ 1 หมื่นล้าน

HoonSmart.com>>ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ วางยอดขายปีนี้โต 8-10% รักษาอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) อยู่ที่ 18-20% ปักหมุดขยายตลาดใน 6 ประเทศ ดันรายได้ปี’73 แตะ 10,000 ล้านบาทตามเป้า CAGR 11% ขึ้นผู้นำอาหารสัตว์น้ำเอเชีย

นายพีระศักดิ์ บุญมีโชติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ (TFM) เปิดเผยว่า ในปี 2568 บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขายอาหารสัตว์น้ำเติบโต 8-10% รักษาอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) อยู่ที่ 18-20% จากการเติบโตทั้งในและต่างประเทศ จากปี 2567 ที่มีรายได้จากการขาย 5,365 ล้านบาท เติบโต 5.6% อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 18.7% และกำไรสุทธิโตขึ้นจากปีก่อน 5 เท่าตัวคิดเป็นกำไรที่ 535 ล้านบาท เป็นการเติบโตที่แข็งแรง ซึ่งเป็นผลมาจากการพัฒนาคุณภาพของสินค้าที่มีความแตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ อัตรากำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 97% จาก 92% ทำให้ต้นทุนลดลง และการซื้อวัตถุดิบรวมกันของกลุ่มไทยยูเนี่ยน ทำให้ได้ราคาถูกลง และบริหารต้นทุนพลังงานที่ใช้ในโรงงานทำให้ต้นทุนลดลง ทำให้ต้นทุนพลังงานลดลงไปกว่า 10%

แผน 5 ปี ตั้งเป้าหมายรายได้แตะ 10,000 ล้านบาทภายในปี 2573 หรือคิดเป็นการเติบโตเฉลี่ยต่อปี CAGR 11% ผ่านการเติบโตในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ (Segment) โดยเฉพาะอาหารกุ้งและอาหารปลา ที่เป็นผู้นำตลาดอยู่แล้ว รวมถึงขยายสู่อาหารปลาน้ำจืดอื่น ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของเกษตรกรและผู้เลี้ยงสัตว์น้ำ

ทั้งนี้ บริษัทเน้นขยายไปยัง 3 ตลาดหลักๆ คือ ไทย อินโดนีเซีย และ นิวเวฟ ซึ่งเป็นตลาดใหม่ๆ ที่มีศักยภาพของโลก

รักษาแชมป์ในไทย

สำหรับ ตลาดอาหารสัตว์น้ำในไทย มีโอกาสเติบโตอีกมาก เพราะอุตสาหกรรมกุ้งไทยถือเป็นหนึ่งในเสาหลักของอุตสาหกรรมการเกษตรของประเทศ แม้ปัจจุบันเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน แต่ยังคงมีโอกาสสำหรับเกษตรกรไทย โดยปีที่ผ่านมาไทยมีมูลค่าการส่งออกกุ้งแช่แข็งอยู่ที่ 43,000 ล้านบาท หรือประมาณ 137 แสนตัน ไปยังยุโรป อเมริกา เกาหลี ญี่ปุ่น มาเลเซีย ที่ยอมรับว่ากุ้งไทยมีคุณภาพ

TFM ได้ทำงานร่วมกับภาครัฐในการส่งเสริมการเลี้ยงกุ้งให้มีคุณภาพ โดยปีนี้ภาครัฐบาลมีการจัดงบประมาณ เพื่อพัฒนาพันธุ์กุ้งเพื่อสนับสนุนเกษตรกรเป็นมูลค่าสูงถึง 5,000 ล้านบาทผ่านกรมประมงและกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อเพิ่มผลผลิตกุ้งไปสู่ระดับ 400,000 ตันต่อปี จาก 270,000 ตัน การเพาะพ่อพันธุู์ แม่พันธุ์กุ้ง การจัดหาแหล่งทุนให้กับเกษตรกร และนวัตกรรมความยั่งยืน ลดการปล่อยคาร์บอน ที่จะมีการใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ ลดการปล่อยน้ำเสีย

ตลอดจนยกระดับมาตรฐานฟาร์มให้เป็นไปตามมาตรฐานอาหารสัตว์ระดับโลกจากองค์กร Aquaculture Stewardship Council หรือ ASC พร้อมทั้งเน้นเรื่องความยั่งยืน เพื่อสร้างศักยภาพการแข่งขันและรองรับความต้องการในตลาดโลก

ด้าน TFM ถือเป็นผู้นำอาหารกุ้ง มีส่วนแบ่งการตลาด 21% จะเพิ่มส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้น โดยการพัฒนาสินค้าเพื่อให้กุ้งเติบโตเร็ว และการทำงานร่วมกันเกษตรกรด้วยการนำทีมวิชาการเข้าไปช่วย ให้ข้อมูลเชิงลึกถึงปริมาณความต้องการกุ้งในแต่ละปี และขนาดกุ้งที่ตลาดต้องการ ทำให้เกษตรกรมีข้อมูลเชิงลึก เพื่อนำไปบริหารจัดการเลี้ยงกุ้งได้ตรงกับตลาด ภายใต้ต้นทุนที่ต่ำ โดยบริษัทฯจะเป็นผู้รับซื้อในราคาตลาด ซึ่งโมเดลนี้มีการใช้ในอินโดนีเซีย ที่มีทั้งโรงงานและคู่ค้าที่จะส่งกุ้งไปต่างประเทศ

ปีนี้ บริษัทฯในไทยจะมีการลงทุนในการซื้อเครื่องจักรผลิตอาหารสัตว์เพิ่มอีก 300 ล้านบาท เพื่อจะรักษาความเป็นผู้นำในกลุ่มอาหารกุ้ง อาหารปลากะพง และอาหารกบ โดยจะมุ่งขยายตลาดในพื้นที่ที่ยังมีโอกาสเพิ่มส่วนแบ่งการตลาด ด้วยการรักษาคุณภาพสินค้าให้เป็นที่ยอมรับ พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ตอบโจทย์ลูกค้า และสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกับเกษตรกร ผ่านบริการและองค์ความรู้เชิงวิชาการ

ขณะเดียวกัน ได้เตรียมขยายสู่ตลาดอาหารปลาน้ำจืดที่มีมูลค่ากว่า 7,000 ล้านบาท ที่มีโอกาสเติบโตได้อีกมาก ซึ่งปัจจุบัน TFM มีส่วนแบ่งตลาดเพียง 6% ตั้งเป้าก้าวเป็นผู้นำตลาดอาหารปลาน้ำจืดในอนาคต ขณะที่รายใหญ่มีส่วนแบ่ง 21%

ล่าสุด ได้เปิดตัวอาหารสัตว์น้ำจืด 3 แบรนด์ใหม่ เพื่อตอบโจทย์ตลาดเฉพาะกลุ่ม ได้แก่ “ขุนศึก” อาหารปลานิลที่โดดเด่นในเรื่องช่วยให้ปลาโตเร็วและมีรูปร่างตรงตามความต้องการของตลาด และอาหารปลานิลมีมูลค่าถึงปีละ 3-4 พันล้านบาท จากตลาดรวม 7,000 ล้านบาท

“กบทอง” อาหารสำหรับกบขนาดใหญ่ ตอบโจทย์ความต้องการของเกษตรกรที่เลี้ยงกบเชิงพาณิชย์ ที่บริษัทเป็นผู้นำอาหารกบ และ “โปรฟีดปลากดคัง” อาหารปลากดคัง ซึ่งกำลังได้รับความนิยมมากขึ้นโดยเฉพาะในภาคตะวันออกของประเทศไทย

“ปีนี้ราคาอาหารกุ้ง และอาหารปลา ในไทยดีมาก เกษตรกรแฮปปี้ เพราะคนไทย และต่างประเทศ ที่เดินทางเข้ามาในไทยมีการบริโภคกุ้งและปลาเพิ่มขึ้นอย่างมาก”นายพีระศักดิ์ กล่าว

ขึ้นที่ 3 ในอินโดนีเซีย

2.ขยายการเติบโตในอินโดนีเซีย ประเทศผู้ผลิตกุ้งรายใหญ่อันดับ 4 ของโลก โดยในปี 2569 จะมีการซื้อเครื่องจักรเพื่อขยายกำลังการผลิตในอินโดนีเซีย 150 ล้านบาท ภายใต้ บริษัท พีที ไทยยูเนี่ยน คาริสม่า เลสทารี หรือ TUKL ที่ TFM ถือหุ้นอยู่ 65% ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว จากสภาพภูมิศาสตร์ของอินโดนีเซียที่เป็นเกาะ ทำให้ประเทศนี้สามารถเพาะเลี้ยงกุ้งออกมาได้จำนวนมากและมีคุณภาพดี ซึ่งปัจจุบันอยู่อันดับ 7 ของตลาดนี้ มียอดขายกุ้ง 2 หมื่นตัน ปีนี้จะขึ้นมาเป็น 2.7 หมื่นตัน จากตลาดรวม 4 แสนตัน โดยตั้งเป้าติดอันดับ 5 ของตลาดภายในปี 2569 และอยู่อันดับ 3 ในปี 2573

จับมือพันธมิตรโตในตลาดโลก

3.นิวเวพ คือ ตลาดใหม่ๆ ในต่างประเทศ ที่จะมองหาความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับพันธมิตรในต่างประเทศเพื่อรุกตลาดใหม่ ๆ และขยายตลาดเดิม พร้อมสร้างฐานลูกค้าและโอกาสทางธุรกิจที่แข็งแกร่งขึ้นในตลาดส่งออกไปยังประเทศอื่น ๆ โดยเฉพาะอาหารกุ้ง ที่ปัจจุบันในตลาดนิวเวฟมีรายได้จากยอดขายประมาณ 3% ตั้งเป้าจะเพิ่มเป็น 10% ในปี 2573

ทั้งนี้ เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตแบบยั่งยืน โดยจะเป็นการทำงานร่วมกับพันธมิตรที่แข็งแกร่งอย่าง บริษัท อะแวนติฟีดส์ (Avanti Feeds) ในประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นผู้นำตลาดอาหารกุ้ง ครองส่วนแบ่งทางการตลาด (Market Share) เกือบครึ่งหนึ่งของประเทศ

“วันนี้เราไปเวียดนาม มาเลเซีย สิงคโปร์ กลุ่มไอวอรีโคสต์ อเมริกาใต้ ซึ่งมีแหล่งผลิตกุ้งรายใหญ่ที่สุดในโลกอยู่ที่เอกวาดอ 1.2 ล้านตัน อินเดีย ซึ่งเป็นแหล่งผลิตกุ้งอันดับ 2 ของโลก และ เวียดนาม เป็นการทำตลาดผ่านตัวแทนจำหน่ายอาหารสัตว์น้ำ 2 ราย ฟาร์ม 1 ราย และห้องเย็น 1 ราย ซึ่งเวียดนามเป็นผู้ผลิตกุ้งรายใหญ่อันดับ 3 ของโลก เป็นตลาดที่จะทำรายได้เสริมจากสินค้าคุณภาพสูง และจะขยายเข้าไปในตะวันออกกลาง ซึ่งกำลังดูอยู่ “นายพีระศักดิ์ กล่าว

นายพีระศักดิ์ กล่าวว่า เป้าหมายใหญ่ คือการก้าวสู่การเป็นผู้นำอุตสาหกรรมอาหารสัตว์น้ำระดับเอเชีย ผ่าน 4 กลยุทธ์สำคัญ ประกอบด้วย

1.Consistent Feed Quality รักษาคุณภาพอาหารสัตว์ที่สม่ำเสมอ เพื่อให้ลูกค้าของบริษัทฯ ได้รับผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพดีที่สุดและสามารถแข่งขันในตลาดได้

2.Farmer Engagement สร้างการมีส่วนร่วมกับเกษตรกร โดยมุ่งเน้นเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเกษตรกรเพื่อให้สามารถพัฒนาระบบการผลิตร่วมกันและให้เกษตรกรสามารถเติบโตไปพร้อมกัน

3.Strategic Partnership ขยายความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับพันธมิตรทั้งในประเทศและต่างประเทศที่มีอยู่กว่า 13 ราย ที่มีเครือข่ายอยู่ทั่วโลก ซึ่งช่วยเพิ่มฐานลูกค้าที่แข็งแกร่งและสามารถเข้าถึงตลาดใหม่ ๆ ได้

4. Sustainability มุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยไม่เพียงแต่สนับสนุนเกษตรกรในการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยังคำนึงถึงการรักษาสิ่งแวดล้อมและการสร้างผลกระทบทางบวกต่อสังคม โดยจะสนับสนุนให้เกษตรกรมีการเลี้ยงสัตว์น้ำภายใต้มาตรฐาน ASC ซึ่งปัจจุบันไทยมี 47 ฟาร์มที่ได้มาตรฐานดังกล่าว โดยมาตรฐานนี้เป็นที่ยอมรับของทั่วโลก และเป็นหนึ่งในใบเบิกทางของการส่งกุ้งและสัตว์น้ำไปยังตลาดใหญ่ๆ และเป็นตัวเลือกลำดับต้นๆ ของแบรนด์ใหญ่ๆ ของโลก ทำให้ได้ราคาที่ดีขึ้น

“จากกลยุทธ์ดังกล่าวจะเป็นส่วนสำคัญที่จะสนับสนุนเป้าหมายรายได้แตะ 10,000 ล้านบาทภายในปี 2573 หรือคิดเป็นการเติบโตเฉลี่ยต่อปี CAGR 11% ซึ่งอาจจะถึงหมื่นล้านบาทก่อนปี 2573 ก็ได้ถ้าสถานการณ์ตลาดยังเป็นเช่นปัจจุบัน”นายพีระศักดิ์