HoonSmart.com>>หุ้นไทยเงียบเหงา วันนี้วอลุ่มบางเฉียบแค่ 2 หมื่นล้านบาท ดัชนี SETขึ้น-ลงรวม 10 จุด เกาะกลุ่มตลาดเอเชียมีทั้งบวกและลบ ตลาดหุ้นตุรกีห้ามขายชอร์ตถึง 25 มี.ค.นี้ ผ่อนเกณฑ์ซื้อหุ้นคืน ตามหลังตลาดอินโดนีเซีย ส่วนตลาดเกาหลีใต้ที่ห้ามชอร์ตเซลมานาน 18 เดือน ไฟเขียวกลับมาขายได้ทุกตัว เริ่ม 31 มี.ค.68 ด้านหุ้นปตท. (PTT) กำหนดซื้อคืนวันแรก ราคาบวก 1.57% ฟิทช์ฯยันไม่กระทบเรทติ้ง แห่ขายแบงก์กังวลสินเชื่อก.พ.หดตัว รอผลอภิปรายรัฐบาล
วันที่ 24 มี.ค.2568 ตลาดหุ้นไทยเงียบเหงามาก ซื้อขายทั้งวันเพียง 23,385 ล้านบาท ภาคเช้าดัชนีลดลงต่ำสุดแตะ 1,182.60 จุด ช่วงบ่ายมีแรงซื้อหนุนดัชนีขึ้นสูงสุดที่ 1,192.59 จุด ก่อนปิดที่ 1,190.06 จุด บวก 3.45 จุดหรือ +0.29% โดยนักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 698.56 ล้านบาท ต่างชาติขายด้วยเล็กน้อย 82.28 ล้านบาท ส่วนนักลงทุนไทยซื้อสุทธิ 728.75 ล้านบาท
ตลาดหุ้นไทยเกาะกลุ่มเอเชียมีทั้งบวกและลบนำ โดยอินเดีย +1.40% ฮ่องกง+0.91% จีนปรับตัว 0.15% ส่วนไต้หวันร่วงลง -0.46% เกาหลี -0.42% NIKKEI – 0.18% มาเลเซีย -0.11%
ตลาดหุ้นไทยบวกจากแรงซื้อหุ้นใหญ่ นำโดยปตท.(PTT) กำหนดซื้อคืนวันแรก ราคาปิดที่ 32.25 บาท บวก 0.50 บาทหรือ +1.57% โดยบริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ ระบุอันดับเครดิตของปตท.ไม่ได้รับผลกระทบจากโครงการซื้อหุ้นคืน รวมถึง SCC บวก 1 บาท ปิดที่ 164 บาท ด้านกลุ่มธนาคารที่ปรับตัวขึ้นมาหลายวันรับข่าวดีเงินปันผลสูง วันนี้มีแรงขายหุ้นธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ปิดที่ 162.50 บาท ลดลง 1.50 บาทหรือ -0.91% ส่วน BYD ผันผวนสูงมาก วันก่อนราคาดิ่งฟลอร์ วันนี้ปิดซิลลิ่งที่ 0.43 บาท บวก 0.10 บาทหรือ+30.30%
นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล, CISA ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า ตลาดหุ้นวอลุ่มซื้อขายบาง แสดงให้เห็นว่านักลงทุนยังไม่กล้าลงทุน เนื่องจากมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีในวันที่ 24-25 มี.ค. ขณะเดียวกันรอดูนโยบายภาษีสหรัฐในวันที่ 2 เม.ย.นี้ด้วย
อย่างไรก็ดี สัปดาห์นี้ให้น้ำหนักตลาดรีบาวด์ คาดหวังการทำ Window Dressing คาดว่าจะเห็นได้มากขึ้นหลังผ่านการอภิปรายฯไปแล้ว นอกจากนี้ คืนนี้ให้ติดตาม PMI ภาคการผลิต และบริการของสหรัฐ ส่วนพรุ่งนี้ติดตามข้อมูลตลาดบ้าน และวันที่ 28 มี.ค.ติดตามตัวเลข PCE ของสหรัฐฯ ตลาดวันพรุ่งนี้ให้แนวรับ 1,180 จุด แนวต้าน 1,200-1,210 จุด
ด้านตลาดหุ้นตุรกี เมื่อช่วงค่ำวันอาทิตย์ (23 มี.ค. 2568) หน่วยงานกำกับดูแลตลาดทุน ประกาศกฎเกณฑ์ใหม่ ด้วยการสั่งห้ามการขายชอร์ตในหุ้นทุกตัวและผ่อนปรนกฎเกณฑ์การซื้อหุ้นคืน เพื่อป้องกันไม่ให้ตลาดหุ้นปรับตัวลงอีก หลังจากดัชนีอ้างอิงของประเทศร่วงลงในสัปดาห์ที่แล้วจากการจับกุมผู้นำฝ่ายค้านคนสำคัญ
จากรายงานข่าวของสำนักข่าวบลูมเบิร์ก กฎเกณฑ์ใหม่ขยายขอบเขตการห้ามขายชอร์ตให้ครอบคลุมหุ้นทุกตัวที่จดทะเบียนใน Borsa Istanbul (BIST) ซึ่งเป็นตลาดหลักทรัพย์หลักของประเทศ จากก่อนหน้านี้ที่จำกัดการขายชอร์ตเฉพาะบริษัทจดทะเบียน 50 อันดับแรกเท่านั้น
นอกจากนี้ หน่วยงานกำกับดูแลยังอนุญาตให้บริษัทจดทะเบียนซื้อหุ้นคืนในราคาที่สูงกว่าราคาปิดตลาดครั้งล่าสุด และลดข้อกำหนดเงินทุนขั้นต่ำของหุ้นสำหรับการซื้อขายแบบมาร์จิ้นลงจาก 35% เป็น 20%
การผ่อนคลายเกณฑ์ต่างๆ เกิดขึ้นหลังจากที่นายกเทศมนตรีอิสตันบูล นายเอเครม อิมาโมกลู ซึ่งเป็นคู่แข่งของประธานาธิบดีเรเซป ทายิป เออร์โดกัน ถูกจับกุมเมื่อวันพุธทำให้ตลาดเงินภาวะผันผวน ส่งผลให้ค่าเงินลีราของตุรกีลดลงสู่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสูงขึ้น ดัชนีหุ้นธนาคารร่วงลงหนักสุดเป็นประวัติการณ์ตั้งแต่ปี 2544 เป็นอย่างน้อย เพื่อรับมือกับสถานการณ์ ธนาคารกลางตุรกีจึงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมที่ไม่ได้กำหนดไว้ล่วงหน้าเมื่อวันพฤหัสบดี
ไคล์ รอดดา นักวิเคราะห์อาวุโสจาก Capital.com ในเมืองเมลเบิร์นกล่าวว่า การดำเนินการโดยหน่วยงานต่างๆ อาจทำให้สถานการณ์สงบลงหรือความผันผวนของตลาดลดลง แต่นักลงทุนยังมีความกังวลต่อปัจจัยพื้นฐาน
ความเสี่ยงของประเทศในตุรกี ซึ่งจะทำให้สเปรดสินเชื่อกว้างขึ้น และความเป็นไปได้สูงขึ้นที่ธนาคารกลางจะดำเนินนโยบายมากขึ้น
เมื่อวันศุกร์ ค่าเงินลีราปิดที่ 37.73 ต่อดอลลาร์
คุมิโกะ อิชิกาว่า นักวิเคราะห์อาวุโสของ Sony Financial Group ในโตเกียว ระบุในบทวิเคราะห์ที่ส่งถึงลูกค้าว่า มีโอกาสดีที่แรงกดดันขาลงต่อค่าเงินลีราของตุรกีจะยังคงดำเนินต่อไปในขณะนี้
เจ้าหน้าที่ธนาคารกลางตุรกีจัดการประชุมชี้แจงข้อมูลแก่ธนาคารพาณิชย์เมื่อวันอาทิตย์ เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นในตลาด แถลงการณ์ของสมาคมธนาคารตุรกีระบุนอกจากนี้ ธนาคารกลางยังระบุด้วยว่าจะจัดการประมูลพันธบัตรอายุ 91 วัน ซึ่งถือเป็นการออกพันธบัตรครั้งแรกในรอบเกือบ 2 ทศวรรษ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อดูดซับเงินลีราส่วนเกิน
ขณะเดียวกันตลาดหุ้นเกาหลีใต้จะอนุญาตให้มีการขายชอร์ตหุ้นที่จดทะเบียนทั้งหมดอีกครั้งในวันที่ 31 มี.ค.หลังจากสั่งระงับการขายชอร์ต มาเป็นเวลา 18 เดือน ซึ่งถือเป็นการอนุญาตครั้งแรกที่ให้ขายชอร์ตหุ้นที่จดทะเบียนทั้งหมดนับตั้งแต่เดือนมี.ค. 2563
การอนุญาตดังกล่าวเกิดขึ้นแม้การห้ามการขายชอร์ตที่นานที่สุดในประเทศให้ผลลัพธ์ที่หลากหลาย ซึ่งไม่สามารถกระตุ้นราคาหุ้นได้ตามที่คาดไว้ แม้ดัชนี KOSPI จะเพิ่มขึ้น 11.35% ในช่วงเวลาที่คำสั่งห้ามมีผลตั้งแต่เดือนพ.ย. 2566 ถึงวันที่ 20 มี.ค. 2568 แต่ดัชนี KOSDAQ ซึ่งเน้นกลุ่มเทคโนโลยีกลับลดลง 7.28% ทั้งสองดัชนีหลักทำผลงานต่ำกว่าดัชนี S&P 500 ที่พุ่งขึ้น 30% อย่างมากในช่วงเวลาเดียวกัน
ชิน มิน ซอป นักวิเคราะห์จาก DS Investment Securities กล่าวว่า การห้ามขายชอร์ตของตลาดหุ้นเกาหลีใต้ ไม่ได้ผลในการพยุงราคาหุ้นให้สูงขึ้น แทนที่จะมองผลตอบแทนในเชิงลบ ควรมองว่านี่เป็นฐานของการทำให้หุ้นมีราคาที่สมเหตุสมผลมากขึ้น การมีส่วนร่วมของนักลงทุนหลายกลุ่มจะช่วยเพิ่มมูลค่าของบริษัทที่มีการแข่งขัน
มีข้อมูลชี้ให้เห็นว่า ข้อห้ามการขายชอร์ตและทิศทางตลาดมีความสัมพันธ์กันเพียงเล็กน้อย ในหุ้น 10 อันดับแรกที่มีอัตราขายชอร์ตสูงสุดก่อนการประกาศห้าม มีหุ้น 6 ตัวที่ลดลง ในขณะที่ 4 ตัวเพิ่มขึ้น Hotel Shilla ซึ่งมีอัตราขายชอร์ตสูงสุดที่ 7.64% ร่วงลงกว่า 40% จาก 65,000 วอนเหลือ 38,950 วอน แม้จะมีการห้ามการขายชอร์ต
ในการจัดการกับคำวิจารณ์ที่มีมานานเกี่ยวกับการแข่งขันที่ไม่เท่าเทียมกัน หน่วยงานกำกับดูแลด้านการเงินได้นำมาตรการป้องกันใหม่มาใช้ ซึ่งรวมถึงการกำหนดมาตรฐานระยะเวลาการกู้ยืมเงิน เพื่อการขายชอร์ตเป็น 90 วัน และกำหนดหลักประกันแบบเดียวกันเป็นเงินสด 105% สำหรับนักลงทุนสถาบันและรายย่อย โทษสำหรับการขายชอร์ตที่ไม่มีหุ้นในมือ( naked short selling) ที่ผิดกฎหมายได้เพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยมีการปรับสูงสุดถึง 6 เท่าของกำไรที่ได้จากการทำผิดกฎหมาย และอาจจำคุกตลอดชีวิตสำหรับการละเมิดที่มีมูลค่าเกิน 5 พันล้านวอน
มีการนำระบบตรวจสอบส่วนกลางใหม่ (NSDS) มาใช้เพื่อป้องกัน naked short selling โดย ลี บอก -ฮยุน หัวหน้าสำนักงานกำกับดูแลทางการเงินแสดงความมั่นใจว่าระบบดังกล่าวสามารถป้องกันการละเมิดกฎที่ผ่านมาได้ถึง 99% จากการจำลองสถานการณ์
การกลับมาอนุญาตให้มีการขายชอร์ตอีกครั้งอาจช่วยให้เกาหลีใต้สามารถยื่นขอเข้าเป็นสมาชิกดัชนี MSCI ของตลาดพัฒนาแล้วได้ ซึ่งการห้ามขายชอร์ตถือเป็นอุปสรรคสำคัญ อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ตลาดบางคนเตือนว่ากฎระเบียบที่เข้มงวดยิ่งขึ้น อาจส่งผลกระทบต่อบทบาทของการขายชอร์ตในการทำให้ตลาดสามารถมีประสิทธิภาพ
โรห์ ดง-กิล นักวิเคราะห์จาก Shinhan Securities กล่าวว่า เมื่อเทียบกับตลาดใหญ่ๆ อื่นๆ ในปัจจุบัน เกาหลีเป็นตลาดแห่งหนึ่งที่มีกฎระเบียบการขายชอร์ตที่เข้มงวดที่สุด แม้ว่าการกำกับดูแลที่เข้มงวดขึ้นอาจช่วยลดความผันผวนและช่วยด้านความเชื่อมั่นของนักลงทุนรายย่อย แต่ก็มีข้อกังวลว่าการกำกับอาจเป็นอุปสรรคต่อการดูแลสภาพคล่องและกระบวนการค้นหาราคาหุ้นเพื่อสะท้อนมูลค่าที่แท้จริง (price discovery)
ข้อมูลในอดีตบ่งชี้ว่าผลกระทบต่อตลาดอาจเป็นเพียงชั่วคราว ในช่วงที่กลับมาอนุญาตให้ขายชอร์ตได้ เช่น ในปี 2551, 2554 และ 2563 ความผันผวนในช่วงแรกมักจะกลับมามีเสถียรภาพภายในหนึ่งเดือน หน่วยงานกำกับดูแลจะดำเนินการตรวจสอบหุ้นที่มีการขายชอร์ตหนักอย่างเข้มงวดในช่วงสองเดือนแรกหลังจากกลับมาเปิดดำเนินการอีกครั้ง
การตัดสินใจดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากการสืบสวนอย่างละเอียดในวงกว้างเกี่ยวกับการขายชอร์ตที่ผิดกฎหมายโดยธนาคารเพื่อการลงทุนระดับโลก ส่งผลให้บริษัทที่ถูกตรวจสอบ 13 แห่งจากทั้งหมด 14 แห่งต้องจ่ายค่าปรับ 83,600 ล้านวอน การละเมิดส่วนใหญ่เกิดจากการดำเนินงานที่ไม่มากพอของหน่วยซื้อขายอิสระและการตีความข้อตกลงการยืมหุ้นโดยพลการ
ก่อนหน้านี้ ตลาดหุ้นอินโดนีเซียผ่อนคลายเกณฑ์บจ.ซื้อหุ้นคืนโดยไม่ต้องได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นภายใน 6 เดือน เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นขององค์กรในการรักษาเสถียรภาพของราคาหุ้นท่ามกลางความผันผวนของตลาดที่เพิ่มมากขึ้น โดยหน่วยงานกำกับดูแลด้านการเงินของอินโดนีเซีย(Financial Services Authority :OJK) ต้องการรักษาเสถียรภาพของตลาด
การประกาศดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่ตลาดหุ้นอินโดนีเซีย ระงับการซื้อขายในวันอังคาร หลังจากดัชนีจาการ์ตาคอมโพสิต (JCI) ร่วงลง 5% ก่อนที่จะปิดตลาดลดลง 3.84% ที่ 6,223.39 จุด ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนกันยายน 2021 ตลาดฟื้นตัวในวันพุธ โดยดัชนี JCI เพิ่มขึ้น 0.98% ที่ 6,284.4 จุด เมื่อปิดการซื้อขายในช่วงแรก
บริษัทซึ่งประกาศการซื้อคืนผ่านการประชุมผู้ถือหุ้นแล้วสามารถดำเนินการต่อได้ตามแผน แต่ OJK กำหนดเพดานการซื้อคืนสูงสุดไว้ที่ 20% ของทุนที่ชำระแล้ว โดยมีระยะเวลาดำเนินการ 6 เดือน
“เราตรวจสอบอย่างต่อเนื่องเพื่อให้แน่ใจว่าการซื้อคืนจะดำเนินการตามกฎระเบียบ หากสภาวะตลาดดีขึ้นและผู้ออกหลักทรัพย์ตัดสินใจไม่ซื้อคืนก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าจำเป็น ก็สามารถดำเนินการได้ทันที”
การไหลออกสุทธิจากต่างประเทศอยู่ที่ 26.04 ล้านล้านรูเปียะฮ์ (1.58 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) ในปีนี้ ซึ่งรวมถึง 1.77 ล้านล้านรูเปียะฮ์ในสัปดาห์ที่ผ่านมาเพียงสัปดาห์เดียว ซึ่งตอกย้ำถึงความเชื่อมั่นที่ลดน้อยลงในเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ดัชนี JCI ลดลงมากกว่า 8% ตั้งแต่ต้นปีนี้
มีรายงานว่าบริษัทใหญ่หลายแห่ง รวมถึงบริษัทในภาคธนาคาร กำลังเตรียมที่จะดำเนินการซื้อคืนหุ้น