HoonSmart.com>>ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคงคาดการณ์จีดีพีปี 68 โตที่ 2.4% เสี่ยงต่ำกว่าคาดจากสหรัฐขึ้นภาษีนำเข้ารุนแรง โลกเผชิญความไม่แน่นอน เตรียมรับมือการจัดระเบียบการเงินครั้งใหม่ในอีกไม่นาน อุตฯรถยนต์-ส่งออกสินค้าอิเล็กฯ-เครื่องใช้ไฟฟ้าเหนื่อยหนัก หวั่นกระทบแรงงาน หวังรายได้ท่องเที่ยวได้ไม่มาก เตือนรับมือต้นทุนหุ้นกู้ลงไม่ได้มากตามดอกเบี้ย บางธุรกิจกลับเพิ่มขึ้น นักลงทุนยังควระมัดระวังลงทุน ค่าเงินแกว่ง 33.0 -34.5 บาท ส่งออกก.พ.โต 14% คงเป้าทั้งปี 2.5%
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองทิศทางเศรษฐกิจไทย 2568 เสี่ยงจากหลายปัจจัยลบ ทำภาคการผลิตหดตัวติดต่อกันเป็นปีที่ 3 คาดแรงส่งจากการท่องเที่ยวช่วยฟื้นเศรษฐกิจได้แบบจำกัด ขณะที่ยังคงประมาณการจีดีพีปี 2568 เติบโตที่ 2.4% อย่างไรก็ตามท่ามกลางความเสี่ยงสงครามการค้า ซึ่งอาจส่งผลกระทบมากกว่าที่ประเมิน อาจทำให้การขยายตัวของเศรษฐกิจมีโอกาสเติบโตต่ำกว่าคาดได้
ทั้งนี้ จากมาตรการขึ้นภาษีนำเข้า (Tariff) และการเปลี่ยนแปลงด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจากรัฐบาลสหรัฐฯ ในระยะเวลาสองเดือนที่ผ่านมา เศรษฐกิจโลกคงต้องเตรียมเผชิญกับความไม่แน่นอนและเตรียมรับมือกับผลกระทบด้านการจัดระเบียบการเงินครั้งใหม่ในอีกไม่นาน
นายบุรินทร์ อดุลวัฒนะ กรรมการผู้จัดการ และ Chief Economist บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ท่ามกลางความท้าทายทางด้านการขาดดุลการค้าอย่างเรื้อรังและหนี้สาธารณะที่พุ่งสูงขึ้นของสหรัฐฯ แนวทางการแก้ปัญหาที่เริ่มมีการกล่าวถึงมากขึ้นในปี 2568 คือข้อตกลง Mar-a-Lago Accord คล้ายคลึงกับข้อตกลง Plaza Accord ในปี 2528 ที่สหรัฐฯ เคยนำมาใช้ โดยเป้าหมายหลักของ Mar-a-Lago Accord คือ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ต้องอ่อนค่าลง เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของภาคส่งออกสหรัฐฯ รวมถึงการฟื้นฟูภาคการผลิตของสหรัฐฯ และการลดภาระหนี้สหรัฐฯ โดยประเทศพันธมิตรที่พึ่งพาการคุ้มครองด้านความมั่นคงจากสหรัฐฯ ต้องเข้ามาถือพันธบัตรรัฐบาล 100 ปี
นายรุจิพันธ์ อัสสะรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินผลกระทบจากสงครามการค้าทำให้ตลาดรถยนต์โลกเกิดการแข่งขันสูงขึ้น ภาวะอุปทานล้นเกินของโลกรุนแรงขึ้น และราคามีแนวโน้มลดลง โดยประเทศผู้ผลิตรายหลักในตลาดโลก เช่น ญี่ปุ่น เยอรมนี และเกาหลีใต้ จะกระจายตลาดส่งออกรถยนต์มากขึ้น ขณะเดียวกัน ก็จะเข้าไปลงทุนในสหรัฐอเมริกาเพื่อผลิตรถยนต์ป้อนตลาดสหรัฐฯ ลดผลกระทบจากการที่สหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้า
“การแข่งขันในตลาดรถยนต์โลกที่เพิ่มสูงขึ้น จะซ้ำเติมภาวะอุปทานรถยนต์ล้นเกินของโลกให้รุนแรงขึ้น จากปัจจุบันที่ยอดผลิตสูงกว่ายอดขายรถถึง 16% และราคามีแนวโน้มลดลง ยกเว้นตลาดสหรัฐฯ จากการที่ค่ายรถยนต์จีนน่าจะยังใช้กลยุทธ์ด้านราคาต่อเนื่อง ซึ่งการแข่งขันที่เพิ่มสูงขึ้น ยังจะส่งผลต่อการส่งออกรถของไทยและต่อเนื่องไปยังภาคการผลิตรถ ซึ่งปัจจุบันพึ่งพาตลาดส่งออกสูงถึง 67% ของยอดการผลิตรถทั้งหมดของไทย”นายรุจิพันธ์กล่าว
นางสาวเกวลิน หวังพิชญสุข รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า ผลกระทบจากการขึ้นภาษีของทรัมป์ ฉุดการผลิตอุตสาหกรรมไทยให้เสี่ยงหดตัวราว 1.0% ในปี 2568 โดยผู้ผลิตและผู้ส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า จะได้รับผลกระทบทางตรงจากการขึ้นภาษีและคำสั่งซื้อที่ลดลงของสหรัฐฯ เพราะพึ่งพาสหรัฐฯส่งออกสำคัญ ส่วนรถยนต์ เหล็ก อะลูมิเนียม ถูกกระทบทางอ้อมจากการแข่งขันที่รุนแรงท่ามกลางเศรษฐกิจหลักในโลกที่ชะลอลง
สิ่งที่ตามมาคือ แรงงานในภาคการผลิตที่ทักษะต่ำจะมีความเสี่ยงด้านรายได้ โดยโรงงานอิเล็กทรอนิกส์และรถยนต์เริ่มมีสัญญาณการปิดตัวเพิ่มขึ้นและเป็นขนาดกลางถึงใหญ่ ซึ่งสถานการณ์คงจะท้าทายมากขึ้นอีกเมื่อสหรัฐฯ ประกาศใช้มาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ในต้นเดือนเมษายนนี้ นอกจากนี้ ไทยคงคาดหวังแรงส่งจากการท่องเที่ยวได้ไม่มากเท่าปีก่อน หลังจำนวนนักท่องเที่ยว 2 ชาติหลักอย่างจีนและมาเลเซียลดต่ำลง อีกทั้งการแข่งขันกันดึงนักท่องเที่ยวและพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป ทำให้การฟื้นตัวของตลาดต่างชาติเที่ยวไทยกลับไปสู่ระดับก่อนโควิดหรือมากกว่านั้น เป็นเรื่องที่ไม่ง่าย
นางสาวณัฐพร ตรีรัตน์ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย กล่าวว่า คาดเศรษฐกิจโต 2.4% ได้รวมโดนภาษีนำเข้าเพิ่มขึ้นอีก 10% คาดจะส่งผลกระทบ -0.3% แล้ว แต่หากโดนภาษีเพิ่มขึ้นอีก 25% จะส่งผลต่อจีดีพีเพิ่มขึ้นเป็น -0.6% จึงมีความเสี่ยงที่จะปรับตัวลดลงแต่จะยังอยู่ในระดับไม่ต่ำกว่า 2.0% นอกจากนี้ครึ่งปีหลังแทบจะไม่เติบโตเมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาส (QoQ) จากผลกระทบสงครามการค้าและฐานที่สูงในช่วงเดียวกันของปีก่อน และแรงส่งทางเศรษฐกิจลดลง
นางสาวธัญญลักษณ์ วัชระชัยสุรพล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ทิศทางเศรษฐกิจที่ยังมีความไม่แน่นอน ทำให้แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยยังเป็นขาลงทั้งในและต่างประเทศ แต่ภาคเอกชนไทยที่มีแผนระดมทุน อาจต้องระวังว่า ต้นทุนอาจไม่ได้ลดลงมากอย่างที่คาด เพราะนักลงทุนในประเทศยังแสดงสัญญาณระมัดระวัง ทำให้ Spread หุ้นกู้บางกลุ่มยังปรับขึ้น ด้านค่าเงินบาท คาดว่าจะเคลื่อนไหวในกรอบ 33.0 -34.5 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงไตรมาส 2 โดยมีโอกาสแข็งค่าในระยะสั้นตามการปรับขึ้นของราคาทองคำ และการคาดการณ์การลดดอกเบี้ยของเฟด
ส่วนสินเชื่อธนาคารพาณิชย์เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัว แต่ส่วนหนึ่งเป็นการย้ายมาจากตลาดตราสารหนี้ ทำให้สินเชื่อทั้งปีจะโตไม่สูงที่ 0.6% โดยสินเชื่อเอสเอ็มอีและเช่าซื้อรถยนต์น่าจะยังหดตัว สอดคล้องกับสถานการณ์ธุรกิจและอำนาจซื้อที่ไม่แน่นอน ขณะที่มองว่ามาตรการ LTV ที่เพิ่งผ่อนคลายจะทำให้ประมาณการสินเชื่อบ้านปีนี้โตเพิ่มขึ้นได้อีก 0.1-0.2% จากประมาณการเดิมที่ 0.5%
สำหรับตัวเลขการส่งออกเดือน ก.พ.2568 ขยายตัวสูง 14.0%YoY สูงกว่าประมาณการเล็กน้อย เนื่องจากส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับ (รวมทองคำ) และการเร่งส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ ก่อนการปรับขึ้นภาษีครั้งใหม่ จึงยังคงประมาณการภาพรวมส่งออกปีนี้ขยายตัว 2.5% ชะลอลงจากปีก่อนหน้า โดยไตรมาสแรกคาดว่าจะขยายตัวได้เกิน 10% และจะได้รับผลกระทบราว 0.5-1.0% หากไทยถูกสหรัฐฯ เก็บภาษีนำเข้า