HoonSmart.com>>”แอลทีเอ็มเอช ” (LTMH) เคาะราคาขายหุ้น IPO หุ้นละ 5 บาท PE 21.18 เท่า เปิดให้จองซื้อ 25-27 มี.ค.คาดเข้าเทรด mai 2 เม.ย.นี้ ผู้ถือหุ้นเดิม 73%ไม่ขายหุ้น 6 เดือน ชูจุดเด่นแบรนด์ “ลงทุนแมน”แกร่ง Ecosystem ที่เกื้อหนุนกัน ฐานลูกค้าธุรกิจนับ 1,000 ราย กำไรโต ROE 28% หนี้ต่ำ ครึ่งหลังปี 68 เปิดธุรกิจใหม่ WealthTech ซื้อขายหน่วยลงทุน-ตราสารหนี้ผ่านแพลตฟอร์ม หวังส่วนแบ่ง 1%ตลาดใหญ่ 3,000 ล้านบาท ช่วยยกระดับการเงินและการลงทุนของคนไทย
บริษัทแอลทีเอ็มเอช (LTMH) มีพิธีเซ็นสัญญาแต่งตั้งให้บล.ฟินันเซีย ไซรัส เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้น IPO พร้อมกับ ผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายอีก 3 แห่ง ได้แก่ บล.บียอนด์ บล.โกลเบล็กและบล.เคจีไอ (ประเทศไทย) เมื่อวันที่ 21 มี.ค.2568 ที่ผ่านมา
นายสมภพ กีระสุนทรพงษ์ กรรมการผู้อำนวยการ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ในฐานะที่ปรึกษาการเงิน LTMH เปิดเผยว่า บริษัทแอลทีเอ็มเอช จะเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้ประชาชนครั้งแรก (IPO) จำนวน 50 ล้านหุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50% คิดเป็น 25%ของทุนเรียกชำระแล้ว โดยกำหนดราคาขายที่ 5 บาทต่อหุ้น เปิดจองซื้อระหว่างวันที่ 25-27 มี.ค.2568 และคาดว่าจะเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ(mai) วันที่ 2 เม.ย. 2568 หมวดธุรกิจบริการ ในภาวะตลาดหุ้นที่ปรับตัวลงมามากแล้ว และเริ่มกระเตื้องขึ้น เห็นได้จากดัชนีตลาดหลัก ทรัพย์ (SET) มีการปรับตัวขึ้นบ้างในบางวัน ไม่ได้ลดลงอย่างต่อเนื่องเหมือนที่ผ่านมา
การกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO ที่ 5 บาท ถือว่าเป็นระดับที่เหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐานและสอดคล้องกับสภาวะของตลาด พิจารณาจากอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น ( P/E Ratio) เท่ากับ 21.18 เท่า คำนวณจากผลประกอบการในรอบ 4 ไตรมาสล่าสุด ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.- 31 ธ.ค. 2567 ซึ่งมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่เท่ากับ 35.42 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้น 150 ล้านหุ้น จะได้กำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 0.24 บาท
LTMH ถือเป็นธุรกิจสื่อออนไลน์ที่แข็งแกร่งเป็นที่ยอมรับ และมีการเติบโตที่โดดเด่น Brand LTMH เริ่มต้นจากการสร้างเพจ Facebook ภายใต้ชื่อ “ลงทุนแมน” และต่อมาได้ขยายเพิ่มอีก 5 เพจ ประกอบด้วย ลงทุนเกิร์ล, MarketThink, Brandcase, Money Lab และ Mao-Investor ครอบคลุมเข้าถึง และตอบสนองกลุ่มลูกค้าและผู้ติดตามได้หลากหลายมากยิ่งขึ้น จากจำนวน 4.87 ล้านคน ในปี 2564 เพิ่มเป็น 8.32 ล้านคน ณ สิ้นปี 2567 คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) 19.61% ในช่วงปี 2564 -2567 ทำให้ LTMH ถือเป็นอินฟลูเอนเซอร์ ด้านการเงิน และการลงทุน ที่มีความน่าเชื่อถือ และมีอิทธิพลต่อความคิดเห็นและการตัดสินใจของผู้ติดตามจำนวนมาก
นอกจากนี้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุน ผู้ถือหุ้นใหญ่ คือกลุ่มครอบครัวนายธณัฐ เตชะเลิศ และผู้ถือหุ้นเดิมรายอื่นอีก 4 ราย ถือหุ้นรวมประมาณ 73% ยังได้สมัครใจทำข้อตกลงไม่จำหน่ายหุ้นในส่วนที่เหลือจากการติด Silent Period ตามข้อบังคับของตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นเวลา 6 เดือนตั้งแต่วันที่เริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ทำให้ผู้ถือหุ้นเดิมส่วนที่เหลือที่ไม่ติด Lock up จะมีจำนวนเพียง 4.03 ล้านหุ้น คิดเป็นเพียง 2.02% และหุ้นที่เสนอขาย IPO จำนวน 50 ล้านหุ้น รวมทั้งสิ้น 54 ล้านหุ้นเท่านั้น
นายธณัฐ เตชะเลิศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LTMH เปิดเผยว่า การเสนอขายหุ้น IPO ในครั้งนี้ เป็นอีกก้าวสำคัญที่จะสร้างให้ LTMH เติบโตอย่างยั่งยืน โดยการระดมทุน 250 ล้านบาท มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อขยายธุรกิจเทคโนโลยีบริหารความมั่งคั่ง (WealthTech) ภายใต้แบรนด์ “WealthX” จำนวน 43 ล้านบาท ชำระคืนสถาบันการเงินที่กู้ยืมมาลงทุนในหุ้น บลจ.ทาลิส 25 ล้านบาท และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน 165.80 ล้านบาท
สำหรับธุรกิจ WealthTech ในเบื้องต้นได้ยื่นขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ เมื่อวันที่ 6 ม.ค. 2568 คาดว่าจะเริ่มดำเนินธุรกิจเสนอขายหน่วยลงทุนและตราสารหนี้ผ่านแพลตฟอร์มได้ครึ่งหลังของปี 2568 คาดหวังส่วนแบ่งตลาดประมาณ 1% ของมูลค่าตลาดที่ใหญ่มากประมาณ 3,000 ล้านบาท ใช้เวลาดำเนินงาน 3 ปีในการคืนทุน ตั้งเป้า 5 ปี จะมีลูกค้าประมาณ 4,000 บัญชี มูลค่า 40,000 ล้านบาท เป้าหมายในการลงทุนสร้างระบบนิเวศธุรกิจเพิ่มความมั่งคั่ง ร่วมมือกับบลจ.ในการเสนอขายหน่วยลงทุน เพื่อช่วยให้คนไทยลงทุนที่สิ่งที่เหมาะสมจริงๆ ไม่ใช่ถูกยัดเยียด และให้ความรู้เรื่องการลงทุนที่เข้าใจง่ายๆ มีการเปรียบเทียบคุณภาพสินค้าและผลตอบแทนในอุตสาหกรรมให้ด้วย ทำให้คนไทยประสบความสำเร็จในการลงทุนดียิ่งขึ้น
“เชื่อมั่นว่าสิ่งที่จะทำให้ LTMH ประสบความสำเร็จในการขยายธุรกิจครั้งนี้มาจาก “จุดแข็งสำคัญ” ที่เรามีอยู่ทั้งชื่อเสียงของแบรนด์ที่แข็งแกร่ง การมีสื่อออนไลน์และช่องทางการติดตามที่หลากหลาย รวมถึงการมีแพลตฟอร์มสื่อออนไลน์ที่เป็นของเราเอง และระบบ Ecosystem ที่เกื้อหนุนกันรวมถึงทีมผู้บริหารและบุคลากรที่มีความสามารถและประสบการณ์ในอุตสาหกรรมมาอย่างยาวนาน ปัจจุบันธุรกิจสื่อออนไลน์มีฐานลูกค้าที่เป็นธุรกิจ บริษัทขนาดใหญ่กระจายในหลายอุตสาหกรรมมากกว่า 1,000 ราย
ทางด้านผลประกอบการระหว่างปี 2564-256767 บริษัทฯมีรายได้รวม 118.06 ล้านบาท 173.90 ล้านบาท 225.77 ล้านบาท และ 231.72 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR)สูงถึง 25.20% รวมถึงในปี 2567 บริษัทฯ มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงถึง 50.55% มีอัตรากำไรสุทธิที่ระดับ 15.23% อัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) 28% ขณะที่มีหนี้ต่ำ DEเพียง 0.25เท่าเท่านั้น แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการทำกำไรที่สูง แนวโน้มยังคงเติบโตสูงอย่างต่อเนื่อง เพราะต้นทุนส่วนใหญ่เป็นค่าใช้จ่ายคงที่ ขณะที่รายได้เพิ่มขึ้น รากฐานขององค์กรที่แข็งแกร่ง ทั้งในด้านธุรกิจสื่อและแพลตฟอร์มสื่อ (ออนไลน์) และธุรกิจออฟไลน์ เมื่อผนวกกับแผนธุรกิจในอนาคตที่ค่อนข้างชัดเจน โดยเฉพาะการพัฒนาต่อยอดธุรกิจ WealthTech ที่มีโอกาสเติบโตสูง จะเป็นส่วนสำคัญในการสร้างรายได้และเพิ่มศักยภาพต่อการเติบโตก้าวกระโดดในอนาคต
“โมเดลธุรกิจที่มีการเพิ่มธุรกิจ เพิ่มรายได้ประจำ แม้ในช่วงแรกของการลงทุนธุรกิจ WealthTech จะมีค่าใช้จ่ายสูงกว่ารายได้ ยังคงมั่นใจว่าธุรกิจหลักที่มีอยู่เดิมก็ยังมีโอกาสเติบโตสูง ทำให้มีอัตรากำไรสูงอย่างต่อเนื่อง”นายธณัฐกล่าว