“BBL” ปักธง ROE เกิน 10% บุกหนักตลาดอินโดฯรับการลงทุนพุ่ง

HoonSmart.com>>ธนาคารกรุงเทพ(BBL) ตั้งเป้าสินเชื่อปี’67 โต 3-5% NPLs 3% อัตรากำไรดอกเบี้ยสุทธิ 2.8%  เพิ่ม ROE มากกว่า 10% ปี 69-71 จากรายได้ต่างประเทศหนุน รุกขยายฐานลูกค้าในอินโดนีเซียรับการลงทุนจากทั่วโลก ร่วมกับคู่ค้าทั้งในและต่างประเทศ ขับเคลื่อนองค์กรด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ ออกแบบสินค้าให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์กลุ่มเป้าหมาย

ธนาคารกรุงเทพ(BBL)  เปิดเป้าหมายการดำเนินงานในปี 2567  ตั้งเป้าสินเชื่อจะมีการเติบโต 3-5% ซึ่งถือว่าดีขึ้นมากเมื่อเทียบกับปี 2566 ที่สินเชื่อติดลบ -0.4% คงเหลือ 2,671,964 ล้านบาท อัตรากำไรดอกเบี้ยสุทธิ หรือ NIM ประมาณ 2.8% ลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อนอยู่ที่ 3.02% ยอดคงค้างเงินให้สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ NPL gross 3% การเติบโตของรายได้จากค่าธรรมเนียมสุทธิ เป็นตัวเลขหลักเดียวค่อนไปทางต่ำ ขณะที่อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้จากการดำเนินงานจะอยู่ประมาณ 40% จากปีที่แล้วอยู่ที่ 48.8%

ขณะที่การประชุมกับนักวิเคราะห์ของธนาคารกรุงเทพ นายชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ ได้ให้ข้อมูลว่า ตั้งเป้าอัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) สูงกว่า 10% ภายในปี 2569-2571 ทั้งนี้ ในปี 2566 ROE  อยู่ที่ 8.05% เติบโตต่อเนื่องจากระดับ 3.92% 5.63% และ 5.87% ในปี 2563-2565

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่และเลขานุการบริษัท ธนาคารกรุงเทพ (BBL) กล่าวว่า การคาดการณ์ว่า NIM จะอยู่ที่ 2.8% เป็นผลจากการมองว่าอัตราดอกเบี้ยโลกจะมีการปรับตัวลดลงในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 ทำให้อัตราดอกเบี้ยในไทยปรับตัวลดลงตามส่งต่ออัตรากำไรดอกเบี้ยสุทธิของธนาคารลดลงตามไปด้วย ประกอบกับบัญชีเงินฝากที่ให้อัตราดอกเบี้ยคงที่ แม้อัตราดอกเบี้ยในตลาดลดลง ธนาคารก็ยังคงจ่ายดอกเบี้ยในอัตราเดิมที่ยังสูง

นอกจากนี้ ธนาคารยังให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ที่เป็นเอสเอ็มอี ด้วยการคิดอัตราดอกเบี้ยพิเศษอยู่ที่ 5% เป็นเวลา 5 ปี ในวงเงิน 20,000 ล้านบาท เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ ในขณะที่อัตราดอกเบี้ย MLR ในตลาดอยู่ที่ระดับ 7% หากเอสเอ็มอี กู้เงินจะถูกบวกเพิ่มไปอีก 2% เพราะมีความเสี่ยงสูง

ส่วนการที่ทางธนาคารตั้งเป้าหมาย ROE ไว้ว่าจะสูงกว่า 10% นั้นจะมาจากรายได้ที่เพิ่มขึ้น จากกิจการธนาคารต่างประเทศเข้ามาเพิ่มขึ้นจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก โอกาสการลงทุนทางตรงของนักลงทุนต่างประเทศจะเข้ามาในประเทศไทยและในเอเชียเพิ่มขึ้น การเปลี่ยนผ่านสู่ธุรกิจสีเขียวทำให้ความต้องการสินเชื่อสีเขียวเพิ่มสูงขึ้น

“รายได้จากกิจการธนาคารต่างประเทศ (14 ประเทศ) โดยเฉพาะจาก ธนาคารพีทีเพอร์มาตา ทีบีเค ที่ประเทศอินโดนีเซีย (มี 220 สาขา) เติบโตอย่างรวดเร็ว ทำให้รายได้จากต่างประเทศของธนาคารเพิ่มขึ้นเป็น 25% จากเดิม 15% เพราะการขยายตัวของสินเชื่อที่อินโดนีเซียมีการเติบโตสูงมากคิดเป็น 5-6% ของจีดีพี ในขณะที่สินเชื่อในไทยมีการเติบโตเพียง 1-1.5% ของจีดีพี และมั่นใจว่าปีนี้รายได้จากต่างประเทศจะยังไปได้ดี”นายกอบศักดิ์ กล่าว

สำหรับกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจในปีนี้จะมุ่งไปที่ 3 ด้านหลักๆ คือ 1.การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้เพื่อปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงาน ปรับกระบวนการทำงาน ให้เป็นรูปแบบอัตโนมัติ ปรับข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบดิจิทัล ใช้เทคโนโลยี AI เข้ามาช่วยประมวลผลข้อมูล ทำให้เกิดความรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ เพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขัน ซึ่งจะมีการลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยปีนี้ก็ยังลงทุนใหม่อีกหลายพันล้านบาท แต่ไม่สามารถบอกตัวเลขได้

2.การใช้ประโยชน์จากความเชี่ยวชาญของเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจที่มีอยู่ทั้งในและต่างประเทศ ขยายฐานลูกค้าในไทยและเพิ่มขึ้นให้ได้มากที่สุด ส่วนตลาดต่างประเทศจะเน้นฐานลูกค้าสินเชื่อที่เป็นอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าสูง โดยตลาดต่างประเทศกำลังเปิดอย่างมาก โดยเฉพาะตลาดอินโดนีเซีย จะใช้สาขาที่มีอยู่ในการขยายฐานธุรกิจกลุ่มลูกค้าขนาดใหญ่ ที่มีการมุ่งเข้าไปลงทุนมูลค่ามหาศาลในอินโดนีเซีย

3.ปรับปรุงสาขา และตู้เอทีเอ็ม ให้เหมาะกับสถานการณ์ ซึ่ง ณ สิ้นปี 2566 เหลือสาขา 847 แห่ง ลดลง 44 แห่งจากปี 2565 ตู้เอทีเอ็ม เหลือ 7,263 ตู้ ลดลง 694 ตู้ เครื่องฝากถอนเงินอัตโนมัติ หรือ CDM มี 910 ตู้ ลดลง 32 ตู้

“ที่ลดลงเพราะลูกค้าหันไปใช้เครื่องมืออื่นๆ ไม่อยากเดินมาที่ตู้เอทีเอ็ม หรือ สาขา ก็ปรับลดลงตามสถานการณ์ ที่ไหนลูกค้ามาใช้น้อยก็ควบรวมสาขา เพราะโลกดิจิทัลเข้ามาเพิ่มขึ้น “นายกอบศักดิ์ กล่าว

นายกอบศักดิ์ กล่าวว่า ปี 2567 หากไม่มีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นเหมือนโควิด ทางธนาคารจะจ่ายเงินปันผลไม่ต่ำกว่าปี 2566 ที่หุ้นละ  7 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 13,361.9 ล้านบาท คิดเป็นประมาณ 35.60%ของกำไรสุทธิ โดยจ่ายจากกำไรสะสม ซึ่งธนาคารได้จ่ายเงินปันผล ระหว่างกาลไปแล้ว หุ้นละ 2 บาท และจะจ่ายเงินงวดสุดท้ายอีกหุ้นละ 5 บาท ในวันที่ 10 พ.ค.2567  กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผลในวันที่ 24 เม.ย.2567 พร้อมกันนี้ได้กำหนดวันประชุมผู้ถือหุ้นสามัญประจำปี ครั้งที่ 31 ในวันพฤหัสบดีที่ 11 เม.ย. 2567 เวลา 15.00 น. เป็นต้นไป ณ สำนักงานใหญ่