PTG กำไรไม่แผ่ว 966 ล้านบาท ปักธงปีนี้ทุกธุรกิจโตต่อเนื่อง

HoonSmart.com>> PTG กำไรไม่มีแผ่ว !!  966 ล้านบาท  โชว์ยอดขายน้ำมันทุบสถิติสูงสุดใหม่ 5,960 ล้านลิตร บอร์ดใจสปอร์ต!  แจกปันผล  0.35 บาท หุ้น “พิทักษ์ รัชกิจประการ” บิ๊กบอส ประเมินแนวโน้มธุรกิจปีนี้ สดใสต่อเนื่อง จากธุรกิจ Non-Oil ก๊าซ LPG และกาแฟพันธุ์ไทยเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ จากยอดสมาชิกบัตร PT Max Card และ PT Max Card Plus เพิ่มขึ้น พร้อมตั้งเป้ายอดขายน้ำมันปีนี้โต 10-12%

พิทักษ์ รัชกิจประการ

นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี  (PTG)  เปิดเผยว่า ผลดำเนินงานปี 2566 มีกำไรสุทธิ  966 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.3% YoY และมีกำไรต่อหุ้นขั้นพื้นฐานอยู่ที่ 0.57 บาทต่อหุ้น

สาเหตุหลักจากการเติบโตของรายได้รวม ที่เพิ่มขึ้น 19,389 ล้านบาท หรือ 10.8% YoY เป็น 198,811 ล้านบาท โดยมีปัจจัยหลักมาจากธุรกิจ Oil ที่มีรายได้เพิ่มขึ้น 8.9% YoY เป็น 185,123 ล้านบาท จากปริมาณการจำหน่ายน้ำมันปีที่ผ่าน ทุกช่องทางเติบโต 12.1% เป็น 5,960 ล้านลิตร นับเป็นสถิติที่สูงที่สุดได้อีกครั้ง นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทฯ รวมถึงเป็นครั้งแรกของบริษัทฯ ที่สามารถครองส่วนแบ่งการตลาดน้ำมันผ่านช่องทางสถานีบริการได้กว่า 20%

สำหรับธุรกิจ Non-Oil มีรายได้เติบโต 44.4% YoY เป็น 13,688 ล้านบาท โดยการเติบโตหลัก ๆ มาจากธุรกิจก๊าซ LPG ที่มีรายได้จำนวน 8,350 ล้านบาท เติบโต 46.3% YoY โดยมีปัจจัยหลักมาจาก

1) มีปริมาณการจัดจำหน่ายก๊าซ LPG ที่ยังคงสร้างสถิติสูงที่สุดอย่างต่อเนื่อง ที่จำนวน 634 ล้านลิตร เพิ่มขึ้น 27.7% YoY และ 2) ราคาขายเฉลี่ยที่ 13.15 บาทต่อลิตร เพิ่มขึ้น 14.6% YoY สำหรับธุรกิจกาแฟพันธุ์ไทยมีรายได้เพิ่มขึ้น 54.1% YoY จากการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง

ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2566 กาแฟพันธุ์ไทย มี 882 สาขา เพิ่มขึ้น 371 สาขา จากสิ้นปี 2565  ประกอบกับการเติบโตของสาขาเดิม (Same-Store-Sales) จากการกลับเข้ามาใช้บริการอย่างต่อเนื่องของกลุ่มลูกค้าผู้ถือบัตร PT Max Card และ PT Max Card Plus

กำไรขั้นต้น  12,922 ล้านบาท เติบโต 7.6% YoY โดยกำไรเติบโตมากจากธุรกิจ Non-Oil ที่เพิ่มขึ้น 23.4% YoY หรือ 520 ล้านบาท เป็น 2,742 ล้านบาท

ธุรกิจ Oil มีกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น 4.0% YoY หรือ 394 ล้านบาท เป็น 10,180 ล้านบาท จากการเติบโตของปริมาณการจำหน่ายน้ำมันผ่านทุกช่องทาง แต่หักลบกับกำไรขั้นต้นต่อลิตรที่ลดลงเล็กน้อย ซึ่งเป็นผลมาจากการบริหารจัดการกองทุนน้ำมันที่ไม่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่น ในบางช่วงเวลาของไตรมาส 2/2566 ทำให้กำไรขั้นต้นต่อลิตรในไตรมาสดังกล่าวลดลง และนโยบายของรัฐบาลชุดใหม่ที่มีการปรับราคาค้าปลีกน้ำมันกลุ่มดีเซลลง 2.00 บาทต่อลิตรที่มีผลเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2566 จนถึง 31ธันวาคม 2567 แต่อย่างไรก็ตามสัดส่วนกำไรขั้นต้นในธุรกิจ Oil ยังคงมีสัดส่วนกำไรขั้นต้นมากที่สุดที่ 78.8%

อย่างไรก็ดี บริษัทฯ มีการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนเป็นจำนวน 33 ล้านบาท ซึ่งดีขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า เนื่องจากมีการรับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนของบริษัทร่วมค้าที่ลดลงจากการบริหารจัดการสต็อคที่ดีขึ้น ท่ามกลางความผันผวนของราคาน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) ระหว่างปี จึงส่งผลให้บริษัทฯ มีกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) จำนวน 5,694 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.3% YoY

บริษัท ฯ จ่ายปันผล หุ้นละ 0.35 บาท กำหนดจ่ายวันที่ 17 พฤษภาคม 2567

นายพิทักษ์ กล่าวต่อว่า  ปี 2567 ตั้งเป้าปริมาณขายน้ำมัน 10-12% จากปัจจัยหนุนจากเศรษฐกิจไทยในภาพรวม โดยเฉพาะการขยายตัวจากการบริโภคภาคเอกชน รวมถึงภาคการท่องเที่ยวที่เติบโตต่อเนื่อง เห็นได้จากการคาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2567 ที่จำนวน 35 ล้านคน จากมาตรการยกเว้นวีซ่าให้กับนักท่องเที่ยว และการขยายระยะเวลาในการพำนักสำรหับฟรีวีซ่าให้กับนักท่องเที่ยว รวมถึงปัจจัยภายในของบริษัทฯ เอง ที่มีการยกระดับการให้บริการ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้ามมากยิ่งขึ้น รวมถึงการเข้ามาใช้บริการซ้ำของลูกค้ากลุ่มผู้ถือบัตร PT Max Card และ Max Card Plus

นอกจากนี้ วางแผนขยายสถานีบริการ ปี 2567  จำนวน 2,251 สถานี บริการรวมถึงมีการปรับปรุงสถานีบริกการให้มีความทันสมัย และตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าให้สามารถเข้าถึงความ “อยู่ดี มีสุข” ภายใต้ระบบนิเวศของบริษัทฯ ได้อีกด้วย

สำหรับธุรกิจ Non-Oil ในปี 2567 ยังคงวางเป้าเติบโตอย่างต่อเนื่อที่ระดับ 40-50% โดยวางเป้าหมายการเติบโตของปริมาณการจำหน่ายก๊าซ LPG ในปีนี้ ไว้ที่ 30-40% YoY ซึ่งการเติบโตมาจาก 1) กลุ่ม Auto LPG ด้วยการยกระดับประสบการณ์ให้แก่ลูกค้าด้วยงานบริการ ส่งเสริมยอดขาย และครองส่วนแบ่งการตลาด อันดับ 1 ด้วยโครงการ “Taxi Transform” และ “Auto Transform” รวมถึงการใช้กลยุทธ์ทำงานดานการตลาดผ่านระบบสมาชิก บัตร PT Max Card เพื่อรักษาและขยายฐานลูกค้า 2) กลุ่มก๊าซครัวเรือนและอุตสาหกรรมด้วยการมุ่งรักษาฐานลูกค้าหลักเดิม และหาฐานลูกค้าใหม่ รวมถึงการนำเสนอโปรโมชั่นการขาย และการรับรู้แบรนด์ PT แก่ลูกค้และ 3) เน้นการขยายจำนวนสถานีบริการ Auto LPG และ Gas Shop เป็น 788 สาขา จากเดิมที่มีอยู่ 573 สาขาในปี 2566

ส่วนธุรกิจร้านกาแฟพันธุ์ไทย บริษัทฯ ยังคงเน้นการขยายสาขาอยางต่อเนื่องในปีนี้ โดยวางเป้าขยายในปีนี้ที่ 400 สาขา และเน้นการขยายในพื้นที่ที่มีศักยภาพมากขึ้น อาทิ 1) ย่านใจกลางเมือง ย่านธุรกิจที่มีกำลังซื้อสูง (CBD: Central Business District) 2) หัวเมืองตามจังหวัดต่าง ๆ 3) ศูนย์การค้าหรือห้างสรรพสินค้า 4) สถานที่ราชการ 5) โรงพยาบาล และ 6) มหาวิทยาลัย นอกจากนี้อีกหนึ่งการเติบโตของรายได้มาจากการเติบโตของยอดขายของสาขาเดิม จากการนำเสนอสินคาและบริหการใหม่ ๆ เพื่อดึงดูดลูกค้ารวมถึงกการเข้ามาใช้บริการซ้ำของกลุ่มลูกค้าเดิม และลูกค้ำกลุ่มผู้ถือบัตร PT Max Card และ PT Max Card Plus

ขณะที่ธุรกิจอื่น ๆ ภายใต้ธุรกิจ Non-Oil บริษัทฯ ยังคงวางแผนขยายสาขาและ Touchpoints อย่างต่อเนื่อง โดยมองว่าในปี 2567 บริษัทวางเป้าจำนวนสาขาธุรกิจ Non-Oil อื่น ๆ เป็นจำนวน 961 Touchpoints เพิ่มขึ้น 329 Touchpoints โดยมีการขยายจำนวนหลัก ๆ มาจากสถานีอัดประจุไฟฟ้า Elex PT เพื่อรองรับการเติบโตของยานยนต์ไฟฟ้าในอนาคต ศูนย์บริการและซ่อมบำรุงรถยนต์ Autobacs และสาขาร้านสะดวกซื้อ Max Mart เป็นต้น

“ครั้งนี้ถือเป็นอีกวาระที่ผลประกอบการของ PTG ได้สร้างความประทับใจให้กับผู้ถือหุ้น  เป็นผลมาจากความตั้งใจ และความมุ่งมั่นของทีมงานบริษัทฯ ทุกคน เพื่อร่วมผลักดันให้องค์กรประกอบธุรกิจได้ตามแผน บริษัทฯ เชื่อว่าในปี 2567 ภาพรวมของกลุ่ม PTG ยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งบริษัทฯ จะเดินหน้าในการเสริมสร้างระบบนิเวศทางธุรกิจให้แข็งแรง โดยการร่วมเป็นพันธมิตรกับผู้ค้ารายต่าง ๆ เพื่อให้บริษัทฯ สามารถมอบสิทธิประโยชน์ให้กับลูกค้า ได้อย่างครอบคลุม และสามารถใช้ชีวิตภายใต้ระบบนิเวศของบริษัทฯ ได้อย่าง อยู่ดี มีสุข เพื่อสร้างการเติบโตอย่างมีศักยภาพและมีความมั่นคงตลอดไป” นายพิทักษ์ กล่าว