HoonSmart.com>>สภาทองคำโลก ชี้มีคำตอบหลังราคาทองคำแตะ 3,000 เหรียญสหรัฐ คาดระยะสั้นผันผวน แต่แนวโน้มการลงทุนในทองคำยังได้รับแรงสนับสนุนจากความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร เศรษฐกิจโลก อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น อัตราดอกเบี้ยที่ลดลง ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนตัว
สภาทองคำโลก รายงานว่า ราคาทองคำได้ทะลุ 3,000 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ในการซื้อขายระหว่างวันช่วงเช้าของวันศุกร์ที่ 14 มีนาคม และเกิดขึ้นอีกครั้งในวันจันทร์ที่ 17 มีนาคม แม้ว่าราคาทองคำจากสมาคมตลาดทองคำแห่งลอนดอนที่ทำการซื้อขายช่วงบ่าย (LBMA Gold Price PM) จะยังไม่ได้ทะลุระดับนี้อย่างเป็นทางการ โดยปิดที่ 2,996.50 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ในวันจันทร์ แต่เหตุการณ์นี้ได้ดึงดูดความสนใจจากนักลงทุนและสื่อมวลชนทั่วโลก นำมาซึ่งคำถามมากมายถึงนัยสำคัญของปรากฏการณ์ครั้งนี้
นายจอห์น รีด (John Reade) นักกลยุทธ์การตลาดอาวุโส ประจำยุโรปและเอเชีย สภาทองคำโลก (World Gold Council) ให้ความเห็นเกี่ยวกับจุดเปลี่ยนสำคัญของราคาทองคำว่า “การที่ราคาทองคำทะลุ 3,000 เหรียญสหรัฐนั้น สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทสำคัญของทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยในยามที่ตลาดผันผวน จากราคา 1,000 เหรียญสหรัฐในช่วงวิกฤตการเงิน สู่ 2,000 เหรียญสหรัฐในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทองคำได้พิสูจน์แล้วว่าสามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีในภาวะที่ตลาดมีความเสี่ยงสูง และให้ผลตอบแทนที่น่าพอใจเทียบเคียงได้กับสินทรัพย์ประเภทอื่น ๆ นับตั้งแต่ปี 2514”
จอห์น ยังชี้ให้เห็นว่า นับตั้งแต่ปี 2565 ราคาทองคำไม่ได้เคลื่อนไหวตามทิศทางของอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ และค่าเงินเหรียญสหรัฐเหมือนในอดีต เนื่องจากธนาคารกลางทั่วโลกได้เพิ่มปริมาณการซื้อทองคำเป็นสองเท่า ประกอบกับความต้องการลงทุนจากตลาดเกิดใหม่ที่เพิ่มสูงขึ้น
ธนาคารกลางทั่วโลกเป็นผู้ซื้อทองคำรายใหญ่อย่างต่อเนื่องมาตลอด 15 ปีที่ผ่านมา แต่ในช่วงสามปีที่ผ่านมา ปริมาณการซื้อได้เพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก โดยมียอดซื้อมากกว่า 1,000 ตันต่อปี นับตั้งแต่ปี 2565 และล่าสุดในปี 2567 มียอดซื้อถึง 1,045 ตัน
เราเชื่อว่าปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของการเพิ่มปริมาณขึ้นนี้ ทั้งในแง่ของการลดการพึ่งพาเงินดอลลาร์สหรัฐ การคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ และความกังวลเรื่องเงินเฟ้อ ท่ามกลางสถานการณ์โลกที่มีการแบ่งขั้วทางอำนาจ การซื้อทองคำของธนาคารกลางจะยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนความต้องการในตลาด และส่งผลต่อทิศทางของราคาทองคำในระยะยาว
ในขณะเดียวกัน นักลงทุนจากตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) เริ่มมีอิทธิพลต่อตลาดทองคำมากขึ้น นอกจากแนวโน้มดังกล่าว การปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในช่วงที่ผ่านมายังได้รับแรงหนุนจากความกังวลเกี่ยวกับนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ และความตึงเครียดทางการค้าระหว่างประเทศที่ทวีความรุนแรง ส่งผลให้นักลงทุนหันมาให้ความสนใจทองคำในฐานะเครื่องมือกระจายความเสี่ยงที่สำคัญ
จอห์น กล่าวว่า “ประเด็นสำคัญที่ต้องจับตามองในขณะนี้คือ ราคาทองคำจะสามารถรักษาระดับเหนือ 3,000 เหรียญสหรัฐได้หรือไม่ แม้ว่าสถานการณ์ความเสี่ยงและความไม่แน่นอนที่เพิ่มสูงขึ้นจะช่วยเสริมความเชื่อมั่นในตลาดทองคำ แต่การที่ราคาจะรักษาระดับนี้ได้ จำเป็นต้องเห็นแรงซื้อที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากนักลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากนักลงทุนในประเทศตะวันตก หรือไม่เช่นนั้นก็ต้องมีการเพิ่มปริมาณการซื้อครั้งใหญ่จากกลุ่มธนาคารกลาง”
แล้วไปไงต่อ What’s next?
สภาทองคำโลก ระบุว่า “แม้ตลาดกระทิงยังแข็งแกร่งก็ต้องหยุดพักหายใจบ้าง” ทองคำโดยเฉลี่ยมักจะยืนเหนือระดับสำคัญ เช่น 500 เหรียญสหรัฐได้นาน 9 วัน ก่อนจะมีการปรับฐาน (ดูตารางที่ 1)
อย่างไรก็ตาม ในอดีต ทองคำก็สามารถดีดตัวกลับขึ้นไปเหนือระดับเดิมได้อย่างรวดเร็วในสี่จากห้าครั้ง
ปัจจัยทางเทคนิคและการถือครองสัญญาอนุพันธ์
หากราคาทองคำยังคงอยู่เหนือระดับ 3,000 เหรียญสหรัฐ ในช่วงสองสัปดาห์ข้างหน้า มีโอกาสที่แรงซื้อเพิ่มเติมจะเข้ามาจากตลาดสัญญาอนุพันธ์
ตัวอย่างเช่น มีการประเมินว่ามีมูลค่าประมาณ 8,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ในสัญญาออปชันของกองทุน ETF ทองคำของสหรัฐฯ ที่จะหมดอายุในวันศุกร์ที่ 21 มีนาคม และอีก 16,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ในสัญญาออปชันบนฟิวเจอร์ส ที่จะหมดอายุในวันที่ 26 มีนาคม ซึ่งอาจส่งผลให้เกิด “แรงดีดตัว” (slingshot effect) แต่ขณะเดียวกันก็อาจนำไปสู่การขายทำกำไรระยะสั้น
แนวโน้มราคาและปัจจัยพื้นฐาน
เนื่องจากราคาทองคำปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว จึงไม่น่าแปลกใจหากมีการปรับฐานหรือการเคลื่อนไหวของราคาที่ผันผวนในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุดที่กำหนดทิศทางของทองคำในอนาคต คือปัจจัยพื้นฐานที่สามารถสนับสนุนแนวโน้มระยะยาวได้หรือไม่
จากรายงาน Gold Demand Trends ล่าสุด ราคาทองคำที่สูงขึ้นอาจกดดันความต้องการทองรูปพรรณ กระตุ้นการนำทองคำกลับมาขาย (recycling) และอาจทำให้เกิดการขายทำกำไร
ในขณะเดียวกัน ก็ยังมีปัจจัยหลายประการที่ช่วยสนับสนุนความต้องการลงทุนในทองคำ เช่น ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจโลก อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น อัตราดอกเบี้ยที่ลดลง และค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนตัวล้วนเป็นแรงหนุนสำคัญต่อความต้องการลงทุนในทองคำ
ดังนั้น แม้ว่าจะมีความผันผวนระยะสั้น แต่แนวโน้มการลงทุนในทองคำยังคงได้รับแรงสนับสนุนจากปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง