PTTGC เข้มกลยุทธ์ หนุนกำไรปี 67 รุ่ง โรดโชว์เพิ่มสถาบันตปท.ถือหุ้นเกิน 20%

HoonSmart.com>>”พีทีที โกลบอล เคมิคอล” (PTTGC) ต่อยอดโต High Value & Low Carbon คาด ปี’67กำไรดี  ตั้งเป้าปริมาณขายโต 7-10% มาร์จิ้นพ้นจุดต่ำสุด Allnex ไปได้สวย ชะลอซื้อกิจการ งบลงทุน 100-150 ล้านเหรียญ เพิ่มความเข้มข้นกลยุทธ์ 3 Steps Plus ที่เดินมาถูกทางแล้ว บริษัทในฐานะผู้นำ ESG ระดับโลก มีโอกาสทางธุรกิจมากขึ้น เข้าถึงแหล่งเงินทุนใหม่ ต้นทุนต่ำลง เตรียมไปโรดโชว์สิงคโปร์-ฮ่องกง ดึงสถาบันต่างประเทศถือหุ้นเพิ่มจากปัจจุบันถือ 20% ใกล้เคียงสถาบันไทย

นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) เปิดเผยว่า แนวโน้มการดำเนินงานในปี 2567 จะดีกว่าปีที่ผ่านมา และยังคงมีกำไรพิเศษจากการบริหารทรัพย์สินที่มีมูลค่ารวม 7 แสนล้านบาท ธุรกิจปิโตรเคมีจะดีขึ้นหลังมาร์จิ้นผ่านจุดต่ำสุดในรอบ 30 ปีแล้ว เช่น โพลีเอทิลีน ขณะที่ปริมาณขายจะเติบโต 7-10% จากกำลังการผลิต 13 ล้านตัน แม้ว่าดีมานด์ยังมีความไม่แน่นอนตามภาวะเศรษฐกิจ แต่คาดว่าตั้งแต่ไตรมาส 2 เป็นต้นไปน่าจะเติบโตได้ จากปี 2566 มีรายได้จากการขาย 6.17 แสนล้านบาท ลดลง 9% และธุรกิจ Allnex คาดปริมาณการขายดีขึ้น 10% ตามการฟื้นตัวของกลุ่มยานยนต์

ส่วนธุรกิจโรงกลั่นอาจจะลดลงบ้างในปีนี้ แต่ในไตรมาสแรกลงไม่มากเท่าไร บริษัทคาดการณ์แนวโน้มราคาน้ำมันดิบดูไบในปีนี้ อยู่ที่เฉลี่ย 75-85 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล และอัตราการใช้กำลังการผลิตของโรงกลั่นอยู่ที่ 101%

สำหรับทิศทางการดำเนินงานในปี 2567 ยังคงมีความท้าทาย จึงเพิ่มความเข้มข้นกับมาตรการภายในที่ควบคุมได้ และดำเนินมาอย่างถูกทางแล้วกับกลยุทธ์ 3 Steps Plus : Step Change, Step Out, Step Up  และปรับให้สอดคล้องกับ Industry Landscape ที่เปลี่ยนแปลงไป
Step Change: สร้างรากฐานแข็งแกร่ง ด้วยการปรับปรุงประสิทธิภาพ การควบคุมค่าใช้จ่าย และ การพัฒนาความร่วมมือในมิติต่างๆ รวมถึงมุ่งเน้นการเติบโตทางธุรกิจที่เน้นตลาด (Market-Focused Business) โดยการเพิ่มสัดส่วนผลิตภัณฑ์เม็ดพลาสติกและเคมีภัณฑ์มูลค่าสูง (High Value Products: HVP) มีเป้าหมาย 56% ในปี 2571 และผลิตภัณฑ์นวัตกรรม

Step Out: แสวงหาโอกาสใหม่เพื่อสร้างการเติบโต และดูแลด้านต้นทุนของ Allnex พร้อมขยายตลาดกลุ่มผลิตภัณฑ์พลาสติกชีวภาพและผลิตภัณฑ์เพื่อความยั่งยืน (Bio & Circularity) มุ่งเน้นผลิตภัณฑ์รีไซเคิล รวมถึง Bio-Refinery โดยผลิตภัณฑ์ที่ได้สามารถนำไปผลิตผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องต่างๆ ได้มากมาย ทั้งในอุตสาหกรรมสุขอนามัยส่วนบุคคล อุตสาหกรรมยา อุตสาหกรรมอาหาร อุตสาหกรรมเคมีชีวภาพ และอุตสาหกรรมพลาสติกชีวภาพ ฯลฯ

Step Up: สร้างความยั่งยืนทางธุรกิจ โดยดำเนินงานด้าน Decarbonization ให้เป็นไปตามเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2593 รวมถึงมุ่งมั่นรักษาความเป็นผู้นำด้านความยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้บริษัทยังวางแผนปรับโครงสร้างธุรกิจ โดยการหาพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ และ Non-Core Business อยู่ระหว่างศึกษาธุรกิจใหม่เกี่ยวกับไฮโดรเจนและคาร์บอน โดยใช้จุดแข็งและความเชี่ยวชาญที่บริษัทมีในธุรกิจไฮโดรคาร์บอน สร้างความแตกต่างและผลตอบแทนทางธุรกิจในอนาคต มุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero ที่ได้วางไว้

“เรายังคงทำบ้านให้แข็งแรง และเติบโตจาก High Value & Low Carbon พร้อมลงทุนอย่างระมัดระวัง เดิมจะซื้อกิจการอีกหนึ่ง ก็ชะลอไว้ก่อน เศรษฐกิจโลกมีความท้าทายต่อเนื่อง บริษัทตั้งงบลงทุนประมาณ 100-150 ล้านเหรียญสหรัฐ แบ่งเป็นการลงทุนในบริษัทย่อยและเพิ่มประสิทธิภาพของธุรกิจ Allnex เพื่อเพิ่ม EBITDA  โลกเปลี่ยนแปลงรุนแรงกว่าที่คาด จึงต้องใช้วิธีหาพาร์ทเนอร์ที่มีจุดเด่นในอุตสาหกรรมนั้นๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านเทคโนโลยี หรือการตลาด ซึ่งปีที่ผ่านมาเราได้ขายหุ้นบริษัท จีซี โลจิสติกส์ โซลูชั่นส์ 50% ให้บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น (WHA) ที่เก่งเรื่องโลจิสติกส์ เพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้กับธุรกิจโพลีเมอร์และยังมีกำไรพิเศษอีก 3,000-4,000 ล้านบาท ”

ทั้งนี้ ในปี 2566 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิรวม 999 ล้านบาท เท่ากับ 0.22 บาท/หุ้น มาจากกำไรพิเศษประมาณ  12,339 ล้านบาท

นายคงกระพันกล่าวว่า  บริษัทฯเป็นผู้นำด้าน ESG ได้รางวัลที่ 1 ของ DJSI 5 ปีซ้อน เป็นบริษัทเดียวในโลก มีผลดีต่อธุรกิจ สามารถขยายตลาดทั่วโลก และบริษัทชั้นนำของโลกอยากรู้จัก PTTGC มากขึ้น และยังเพิ่มความแข็งแกร่งทางการเงินด้วย จากการเพิ่มโอกาสแหล่งเงินทุนใหม่ ต้นทุนลดลงและลดหนี้  แนวคิดเรื่อง ESG เกิดขึ้นเพราะมองระยะยาวไม่ใช่การหากำไรในระยะสั้น

ด้านน.ส.ภัทรลดา สง่าแสง รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงินและบัญชี  บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) กล่าวว่า  ในปี 2567 บริษัทฯจะซื้อหุ้นกู้สกุลเหรียญสหรัฐคืนได้ไม่มากเท่ากับปีก่อนที่มีกำไรจำนวน 1,422 ล้านบาท เพราะสถานการณ์ดอกเบี้ยเปลี่ยนไป  ปัจจุบันคงเหลือหุ้นกู้จำนวน 2,000 ล้านเหรียญ

ส่วนเรื่องจุดเด่นด้าน ESG  บริษัทฯได้รับการสนับสนุนจากทั้งธนาคารไทยและต่างประเทศในการให้สินเชื่อที่เชื่อมโยงกับโครงการหรือทรัพย์สินด้านความยั่งยืน หรือ SLL  เพิ่มแหล่งเงินทุนใหม่ๆ และดอกเบี้ยต่ำลง  ซึ่งเมื่อผลงานเข้าเงื่อนไขก็ยังได้ลดดอกเบี้ยลงอีกด้วย

“เราสามารถแปลงหนี้เป็นกำไรได้มาก หลังจากเริ่มซื้อคืนหุ้นกู้สกุลเหรียญสหรัฐในไตรมาส 2 ปีที่ผ่านมา  และปัจจุบันหุ้นกู้ของเรายังเป็นที่ต้องการของนักลงทุนอยู่” น.ส.ภัทรลดา

นอกจากนี้หลังจากบริษัทฯประกาศผลการดำเนินงานในปี 2566  ผู้บริหารก็มีแผนที่จะเดินทางไปนำเสนอข้อมูลหรือโรดโชว์ที่สิงคโปร์และฮ่องกงให้กับนักลงทุนสถาบันต่างประเทศ  เพื่อเพิ่มโอกาสให้เข้ามาลงทุนมากขึ้น ปัจจุบันถือหุ้นอยู่ประมาณ 20% ส่วนสถาบันไทยก็ถือหุ้นประมาณ 20% ได้รับความสนใจมากขึ้นหลังจากบลจ.มีการจัดตั้งกองทุนที่มีนโยบายลงทุนด้าน ESG  ฃ

จากการเป็นผู้ดำเนินธุรกิจเคมีภัณฑ์ระดับสากลที่ยืนหนึ่งด้านความยั่งยืนของ GC ในปี 2567 นี้บริษัทจึงต่อยอดแนวคิด “ดีขึ้นเพื่อคุณ ดีขึ้นเพื่อโลก” พร้อมชวนทุกคนมาเป็น “GEN S..Generation Sustainability คนเจนใหม่หัวใจยั่งยืน” สร้างแรงกระเพื่อมการใช้ชีวิตแบบ Net Zero Lifestyles ร่วมกู้โลก

จากภาวะโลกเดือด ด้วยหลากหลายไอเดียการใช้ชีวิตเพื่อโลกยั่งยืน เช่น รับประทานอาหารให้หมด ลด Food Waste ปิดน้ำและถอดปลั๊กไฟเมื่อไม่ใช้ การใช้ผลิตภัณฑ์รักษ์โลก ใช้ซ้ำ ใช้อย่างคุ้มค่า หรือ ช่วยคัดแยกขยะอย่างถูกวิธี เพราะความยั่งยืนไม่ใช่เรื่องของวัยหรือเรื่องของใคร มาร่วมสร้างสรรค์โลกใบนี้ให้ดีกว่าเดิม ไปด้วยกันได้ ติดตามและร่วมค้นหาไลฟ์สไตล์เพื่อโลกที่ยั่งยืนได้อีกมากมายที่ www.gcgens.com

#GenS #GenSStandforSustainability #GenSGenerateNetZeroLifestyles #คนเจนใหม่หัวใจยั่งยืน
#GCChemistryforBetterLiving