HoonSmart.com>>บ้านปู เพาเวอร์ ตั้งเป้า EBITDA ปี’68 โต 20% ผลราคาไฟฟ้าสูงขึ้น ขยายกำลังการผลิตแตะ 1,500 MW ปี’73 รับการย้ายฐานนักลงทุนเข้าเท็กซัส ย้ำอัตราผลตอบแทนเงินปันผลสูงสุดในอุตฯโรงไฟฟ้า
นายอิศรา นิโรภาส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (BPP) คาดการณ์การเติบโตของกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ในปี 2568 อยู่ราว 20% จากราคาซื้อขายไฟฟ้าที่สหรัฐฯและจีนปรับตัวสูงขึ้น จากความต้องการใช้ไฟฟ้าของธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ ยานยนต์ไฟฟ้า ที่ใช้ไฟฟ้ามากขึ้น และนโยบายลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน ทำให้คนหันมาใช้พลังงานสะอาด
BPP ยังคงเดินหน้าขยายกำลังการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง จากโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ Temple I และ II ในรัฐเท็กซัส ที่คาดว่าความต้องการใช้ไฟจะสูงขึ้น จากการที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ มีนโยบายดึงนักลงทุนกลับเข้าไปลงทุนในประเทศ โดยรัฐเท็กซัส ซึ่งเป็นรัฐที่ BPP เป็นผู้ผลิตไฟฟ้ารายใหญ่ เป็นหมุดหมายหนึ่งที่รัฐบาลสหรัฐฯ ต้องการให้มีการตั้งโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งจะดึงคนเข้าพื้นที่ได้เพิ่มขึ้น ความต้องการใช้ไฟก็จะเพิ่มขึ้น
“คาดว่าความต้องการใช้ในพื้นที่ดังกล่าวจะเติบโตเฉลี่ยปีละ 15-17% ไปจนถึงปี 2573 จากการลงทุนใน Data Centers ซึ่งรัฐเท็กซัสเป็นศูนย์กลางขนาดใหญ่อันดับ 2 ของประเทศ และมีโรงงานผลิตใหม่กว่า 150 แห่ง ที่คาดว่าครึ่งหนึ่งจะเปิดดำเนินการได้ภายในปีนี้”นายอิศรา กล่าว
นายอิศรา กล่าวว่า ประกอบกับจีน ยังคงมีนโยบายกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจจากการใช้จ่ายในประเทศ และกระชับห่วงโซ่อุปทาน เดินหน้าพลังงานสีเขียว ทำให้ไฟฟ้าพลังงานไอน้ำของ BPP เป็นที่ต้องการ สามารถขายไฟได้ในราคาที่สูงกว่าราคาตลาด
ขณะเดียวกัน ธุรกิจโรงไฟไฟ้าที่จีน ยังสามารถขายสิทธิการปล่อยก๊าซคาร์บอน (CEAs) จากโรงไฟฟ้าถ่านหิน โดยคาดว่าปี 2568-2569 จะสามารถขาย CEAs ได้เฉลี่ยปีละ 2.9 แสนตัน ใกล้เคียงกับปี 2567
สำหรับ การบริหารความเสี่ยงรายได้ กรณีความต้องการใช้ไฟไม่เป็นไปตามคาด ในกรณีที่สภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวย และค่าเงินผันผวนนั้น
ผลจากการที่รายได้ BPP 80% มาจากต่างประเทศ และลาว จะอยู่ในรูปสกุลเงินดอลลาร์
บริษัทฯ ได้เตรียมมาตรการบริหารความเสี่ยงจากความผันผวนของราคา (Hedging Risk Management) ผ่านเครื่องมือทางการเงิน (Financial Derivative) ซึ่งในปี 2568 คาดว่าจะสร้างกระแสเงินสดเพิ่มขึ้น 40% หรือราว 146 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
“50% ของกำลังการผลิตไฟฟ้า เรามีการทำสัญญาซื้อขายไฟล่วงหน้า เพื่อจะได้มีรายได้ที่แน่นอนเข้ามาก่อน ซึ่งส่วนนี้จะครอบคลุมค่าใช้จ่ายในปีนั้นๆ 100% ที่เหลือเราจะนำไปบริหารจัดการตามสถานการณ์ของราคาตลาด”นายอิศรา กล่าว
นายอิศรา กล่าวว่า ขณะที่ในประเทศไทย นโยบายลดค่าไฟฟ้าไม่ส่งผลกระทบต่อบริษัทฯ เนื่องจากมีสัญญาขายไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)
สำหรับ แผนการลงทุนปี 2568-2573 ตั้งงบไว้ที่ 1,000-1,500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยแบ่งเป็นการลงทุนในโรงไฟฟ้าก๊าซ 60% และโรงไฟฟ้าพลังงานสะอาด 40% โดยในปี 2568 คาดว่าจะใช้เงินลงทุน 200-400 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพื่อขยายโรงไฟฟ้าในสหรัฐฯ ตามเป้าหมายระยะยาวในการเพิ่มกำลังการผลิตจากก๊าซธรรมชาติอีก 1,500 เมกะวัตต์ (MW) หรือเฉลี่ย 300 MW ต่อปี
ทั้งนี้ ตั้งเป้าปี 2573 สัดส่วน EBITDA กว่า 65% จะมาจากพลังงานสะอาดสอดรับกับแนวทางการเติบโตอย่างยั่งยืนของบริษัทฯ
สำหรับ ผลการดำเนินงานปี 2567 BPP มีรายได้รวม 25,827 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 1,746 ล้านบาท โดยมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) จากการดำเนินงานปกติ รวม 7,383 ล้านบาท พร้อมรักษาอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วน
ผู้ถือหุ้น (D/E) อยู่ในระดับต่ำเพียง 0.49 เท่า ต่ำสุดเมื่อเทียบบริษัทที่ทำโรงไฟฟ้าด้วยกัน โดยไฮไลต์สำคัญในปีที่ผ่านมา ประกอบด้วย
ธุรกิจพลังงานความร้อน (Thermal Energy): โรงไฟฟ้าเอชพีซี (HPC) ในสปป.ลาว และโรงไฟฟ้าบีแอลซีพี (BLCP) ในไทย ยังคงเดินเครื่องอย่างมีประสิทธิภาพและสามารถรักษาค่าความพร้อมจ่ายไฟ (EAF) ในระดับสูงที่ 86% และ 90% ตามลำดับ และจำหน่ายกระแสไฟฟ้าเพิ่มเติมจากจำนวนชั่วโมงการผลิตตามสัญญา
รวมถึงการดำเนินงานที่ดีขึ้นของโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม (CHP) และโรงไฟฟ้าซานซีลู่กวง (SLG) ในจีน จากการบริหารต้นทุนถ่านหินที่ดีขึ้นและมีรายได้อื่นที่เพิ่มขึ้นเกือบ 90 ล้านบาท จากการขายสิทธิการปล่อยก๊าซคาร์บอนของโรงไฟฟ้า (CEAs)ปริมาณประมาณ 2.9 แสนตันคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งถือเป็นสถิติสูงสุด ที่สะท้อนถึงประสิทธิภาพของการบริหารจัดการและควบคุมการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้ดีกว่าเกณฑ์
ธุรกิจ Renewables+ ลงทุนในโครงการ BESS เพิ่มเติมอีก 2 แห่งในญี่ปุ่น ได้แก่ โครงการ Aizu (ไอสึ) และโครงการ Tsuno (ซึโนะ) กำลังการผลิตรวม 208 เมกะวัตต์-ชั่วโมง ซึ่งคาดว่าจะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) ในปี 2571 ขณะที่โครงการ Iwate Tono กำลังการผลิต 58 เมกะวัตต์-ชั่วโมง มีความคืบหน้า 99% เตรียมเปิด COD ในไตรมาส 2 ปี 2568 นี้
และเดินหน้าธุรกิจขายไฟฟ้า Energy Trading ในญี่ปุ่น ซึ่งมีผลการดำเนินงานที่ยอดเยี่ยม โดยมีการซื้อขายทั้งหมด 2,816 กิกะวัตต์-ชั่วโมง
ล่าสุดในปี 2568 บ้านปู เน็กซ์ ซึ่ง BPP ถือหุ้น 50% ได้ร่วมกับโซลาร์บีเค บริษัทชั้นนำด้านพลังงานสะอาดในเวียดนาม จัดตั้งบริษัทร่วมทุน เพื่อให้บริการโซลาร์รูฟท็อปสำหรับกลุ่มธุรกิจเชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรมในเวียดนาม ตั้งเป้าเฟสแรก 390 เมกะวัตต์
นายธีรภัทธ์ วงศ์ระวีกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน BPP กล่าวว่า บริษัทฯ ถือว่ามีอัตราการจ่ายเงินปันผลสูงสุดเมื่อเทียบกับบริษัทที่ทำโรงไฟฟ้าด้วยกัน จากการที่รายได้เติบโตเฉลี่ยปีละ 6% นับจากปี 2560 โดยปี 2567 จะจ่ายเงินปันผล 0.60 บาท คิดเป็นอัตราผลตอบแทน 4.7% โดยจ่ายไปแล้ว 0.30 บาทต่อหุ้น จะจ่ายเพิ่มอีก 0.30 บาทต่อหุ้น และในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาอัตราผลตอบแทนเงินปันผลเกิน 4% เป็นเงินรวม 1.6 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้ ทีมบริหารมั่นใจว่า ด้วยพอร์ตธุรกิจที่มีความหลากหลายและกระจายตัวอย่างสมดุลผ่านการดำเนินธุรกิจเชิงรุกใน 8 ประเทศยุทธศาสตร์ทั่วโลก ทำให้ BPP มีความสามารถปรับตัวรับมือกับภาวะวิกฤติต่างๆ และสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันในแต่ละประเทศเพื่อส่งมอบคุณค่าและผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม พร้อมก้าวสู่เป้าหมายการเป็นผู้ผลิตพลังงานระดับโลก