“CRC” ตั้งเป้ารายได้ปี”67 โต 11% ลุยลงทุน 2.4 หมื่นลบ.บุกธุรกิจฟู้ด

HoonSmart.com>> เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น ตั้งเป้ารายได้ปี 2567 เติบโต 9 – 11% ไทยยังทำรายได้มากสุด เวียดนามเติบโตเร็วสุด คาด EBITDA เพิ่มขึ้น 15-17% คุมต้นทุนเข้ม วางงบลงทุน 2.2-2.4 หมื่นล้านบาท 70% ทุ่มที่ไทย ลุยหนักธุรกิจอาหารทั้งในและต่างประเทศ ขยายสาขาใหม่อีก 29 แห่ง อีก 5 ปีเปิดเพิ่ม 40 แห่ง พร้อมเปิดวิสัยทัศน์  “CRC OMNI-Intelligence” ขับเคลื่อนธุรกิจในอีก 5 ปีข้างหน้าสู่ The Next Era 

นายญนน์ โภคทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น (CRC) เปิดเผยว่า ปี 2567 บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้เติบโต 9-11% โดยรายได้หลักๆ มาจากประเทศไทย ในขณะที่เวียดนามจะเป็นประเทศที่เติบโตเร็วที่สุดเน้นจับกลุ่มลูกค้าครอบครัว ส่วนธุรกิจที่อิตาลีจะมีรายได้จากกลุ่มผู้มีรายได้สูง

ขณะที่ ด้านกำไรก่อนหักค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ตั้งเป้าเพิ่มขึ้น 15-17% โดยจะเน้นการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การซื้อกิจการในต่างประเทศ แม้จะซื้อ 100% แต่หากผู้บริหารชุดเดิมทำดีอยู่แล้ว จะให้บริหารต่อไป โดยทางบริษัทจะสนับสนุนการขยายธุรกิจผ่านแพลตฟอร์มของบริษัท เพื่อให้ธุรกิจเติบโตไปข้างหน้าอย่างไม่สะดุด หรือ ถ้าลงทุนไปแล้วเห็นว่าไม่คุ้มกับการลงทุนก็จะถอนตัว แต่ถ้ามีการเติบโตสูงก็จะทุ่มเต็มที่

 

“ด้วยนโยบายที่ต้องการเติบโตอย่างยั่งยืน ไม่ได้มุ่งเพียงแค่กำไรระยะสั้นเพียงอย่างเดียว ต่อไปการลงทุนใดๆ ต้อง Make Sure ว่าจะได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าและยั่งยืน ภายใต้งบดุลที่แข็งแกร่ง ซึ่งเงินที่ใช้ในการลงทุนใหม่ ในเบื้องต้นจะเน้นรีดสภาพคล่องจากภายในบริษัทก่อน ด้วยการคุมต้นทุนทางการเงิน มีการทำ Corporate Risk ทำให้ Cost ต้อง Lean ปัจจุบัน D/E Ratio ของบริษัทอยู่ที่ 1 เท่า ยังมีรูมในการกู้เงินได้อีกมาก”นายญนน์ กล่าว

ธุรกิจฟู้ดทำเงินมากสุด

นายญนน์ กล่าวว่า การตั้งเป้าหมายรายได้เติบโต 9-11% จะทำการลงทุน 22,000-24,000 ล้านบาท ใน 4 กลุ่มธุรกิจ ทั้งในไทยและเวียดนาม และอิตาลี โดย 75-80% จะทำการลงทุนในประเทศไทย เพราะมีสัดส่วนรายได้สูงสุด คิดเป็นกว่า 70% ของรายได้ทั้งหมด ตามด้วยธุรกิจในประเทศเวียดนาม ทำรายได้ประมาณ 21% และอิตาลี 7%

ทั้งนี้ กลุ่มธุรกิจที่ทำรายได้สูงสุดอันดับ 1 ของรายได้รวม คือ ธุรกิจอาหารหรือฟู้ด รองลงมาเป็นธุรกิจกลุ่มฮาร์ดไลน์ แฟชั่น และพร็อพเพอร์ตี้ ซึ่งในอนาคตก็คิดว่าสัดส่วนจะอยู่ในระดับดังกล่าวเพียงแต่ฐานรายได้จะมีขนาดใหญ่ขึ้น

ปี 2567 กลุ่มฟู้ด จะมีการขยายสาขาทั้งหมด 29 แห่ง แยกเป็น ขยาย GO Wholesale อีก 7 สาขา เพื่อให้เป็นจุดหมายใหม่ The New Choice For All สำหรับผู้ประกอบการทุกคน พร้อมตั้งเป้าขยายรวม 40 สาขา ภายใน 5 ปี และก้าวขึ้นเป็นเบอร์ 1 Omni B2B ในกลุ่ม HoReCa ที่เป็นธุรกิจใหม่ที่มีโอกาสเติบโตสูง นอกจากนี้ยังมีแผนขยายสาขา Tops รวม 10 สาขาในไทย

สำหรับประเทศเวียดนาม จับกลุ่มลูกค้าครอบครัว ซึ่งเติบโตดีมาก  โดยมอลล์ของบริษัทเป็นเบอร์ 1 ด้านแฟมิลี่ มีแผนเปิด ไฮเปอร์มาร์เก็ต GO!อีก  3 สาขา และ go! (มินิ โก!) อีก 9 สาขา ซึ่งถือเป็น Proven Format ที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี

กลุ่มฮาร์ดไลน์ จะเดินหน้าขยายสาขาไทวัสดุ 9 สาขา พร้อมรีโนเวทอีก 4 สาขา และได้ทรานส์ฟอร์มเหงียนคิมในเวียดนามให้สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นธุรกิจที่ถือว่าประสบความสำเร็จ จาก 12 ปีก่อนที่เริ่มต้นจากศูนย์

กลุ่มแฟชั่น การพัฒนาห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล แฟล็กชิปสโตร์ สาขาชิดลม สู่การเป็น World Class Luxury Destination รวมถึงการขยายสาขาเพิ่ม 2 แห่ง พร้อมรีโนเวทและอัพเกรดห้างอีก 4 แห่ง ตลอดจนมีแผนเพิ่มแบรนด์ชั้นนำระดับโลก และนำแบรนด์ในไทยขยายไปยังเวียดนาม ซึ่งปัจจุบันมีแบรนด์ใหม่เข้ามาถึง 500 แบรนด์

กลุ่มพร็อพเพอร์ตี้ ศูนย์การค้าโรบินสันไลฟ์สไตล์ มีการพัฒนาและปรับปรุงสาขาอย่างต่อเนื่อง ส่วนศูนย์การค้าGO! ในเวียดนาม มีแผนขยายอีก 3 สาขา ทำให้สิ้นปี 67 มีจำนวน 42 สาขา ครอบคลุม 42 จังหวัด จาก 63 จังหวัดทั่วประเทศ

5 กลยุทธ์สู่ The Next Era

นายญนน์ กล่าวว่า การทำธุรกิจของเซ็นทรัล รีเทล ในอีก 5 ปีข้างหน้านับจากนี้ไปจะเดินหน้าธุรกิจสู่ The Next Era ด้วยวิสัยทัศน์ CRC OMNI-Intelligence โดยการนำ AI เข้าไปในทุกกระบวนการของการทำธุรกิจ อาทิ การสร้าง Next-Gen Omnichannel ที่ผนวกแพลตฟอร์ม Offline และ Online เข้าไว้ด้วยกัน เพื่อมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับผู้บริโภค อีกทั้งยังขยายอีโคซิสเต็มจาก B2C สู่ B2B อย่างเต็มรูปแบบ และมีการ Integrate AI ให้เข้ากับ HI (Human Intelligence) เพื่อให้พนักงานทำงานได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เหมือนมี Expertise at your fingertip รวมถึงการสร้าง Impact ที่มุ่งเน้นทั้งด้าน Profit และ Planet ให้เติบโตไปด้วยกันอย่างยั่งยืน

สำหรับ CRC OMNI-Intelligence ประกอบไปด้วย 5 กลยุทธ์สำคัญ (5R) หนึ่ง การยกระดับความแข็งแกร่งของธุรกิจหลัก (Revolutionise Core Strength)ใน Multi-Format, Multi-Category และ Multi-Market โดยมุ่งเน้นธุรกิจที่มีการเติบโตสูง รวมถึงการยกระดับเรื่อง Synergy และการทำ M&A เพื่อเพิ่ม Value ในระยะยาวให้กับธุรกิจ

สอง การทำให้สถานภาพทางการเงินมีความแข็งแกร่ง และมีการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด (Reinforce Financial Resilience) เพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ดีขึ้น และมีความยืดหยุ่นทางด้านการเงิน บนหลักการบริหาร 3C (Cash, Cost, Capex)

สาม การต่อยอดธุรกิจนอกเหนือจากธุรกิจค้าปลีก (Reinvent Beyond Retail) คือ การเข้าไปเป็นส่วนสำคัญใน Community ต่างๆ ในแต่ละ Category เพื่อสร้าง Network และ Value ในระยะยาวให้กับธุรกิจของเซ็นทรัล รีเทล รวมถึงการขยายอีโคซิสเต็มจาก B2C สู่ B2B อย่างเต็มรูปแบบ พร้อมเดินหน้า Scale up อย่างต่อเนื่อง

สี่ ทำการพัฒนาศักยภาพของพนักงาน (Reimagine Human Capital) ด้วยการรวมIntelligence ของ AI และ HI เข้าไว้ด้วยกัน เพื่อขยายขีดความสามารถในการทำงาน การวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า และการเพิ่มประสิทธิภาพของแพลตฟอร์มออมนิแชแนลแบบทวีคูณ

ห้า การยกระดับการทำ Green Transition ด้วยการผนึกกำลังทั้งภาครัฐ เอกชน ลูกค้า และพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจ มาร่วมมือกันแก้ปัญหา Climate Change เพื่อไม่ให้ไปสู่ Climate Crisis โดยการลดการใช้พลังงาน ลดความเหลื่อมล้ำ และสร้างโลกสีเขียว เพื่อส่งต่อให้กับคนรุ่นหลัง

นายญนน์ คาดการณ์ถึงภาพรวมธุรกิจของบริษัทในไตรมาส 1 ปี 2567 ว่ามีแนวโน้ม เติบโตได้ดีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลมาจากการกระตุ้นกำลังซื้อของประชาชนด้วยโครงการ Easy e-Receipt มีการขอใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์เป็นจำนวนมาก โดยคาดว่าทั้งระบบก็คงจะอยู่ในสภาพเดียวกัน โดยธุรกิจค้าปลีกทั้งระบบในประเทศไทยมีมูลค่าประมาณ 4 ล้านล้านบาท หากรัฐมีโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาอย่างต่อเนื่อง คาดว่าจะทำให้ธุรกิจค้าปลีกสามารถเติบโตเท่าจีดีพีที่ 3% แต่ถ้าไม่มีการทำอย่างต่อเนื่องคาดว่าจะโตต่ำกว่าจีดีพี

ต่อยอดความยั่งยืน

 

 

ด้านความยั่งยืน ในปีนี้จะทำการต่อยอดไปอีกขั้น ผ่านการดำเนินงานบนปรัชญา CRC Care ที่พร้อมผลักดันธุรกิจให้ก้าวไปข้างหน้า และดูแลทุกภาคส่วนให้เติบโตอย่างยั่งยืนไปด้วยกันแบบ 360 องศา อาทิ การยกระดับเมืองรอง เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างรากฐานที่แข็งแรงให้กับเศรษฐกิจไทย, การยกระดับชุมชนและสิ่งแวดล้อม ผ่านโครงการที่เราทำอย่างต่อเนื่อง, การยกระดับความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ และซัพพลายเออร์ เพื่อมาร่วมมือกันสร้างความยั่งยืนทั้งอีโคซิสเต็ม เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดนี้ คือ หัวใจสำคัญที่ตอกย้ำ Brand Purpose ของเซ็นทรัล รีเทล ที่จะเป็น Central To Life ศูนย์กลางชีวิตของทุกคนตลอดไป” นายญนน์ กล่าว