HoonSmart.com>>ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนลฯ ชี้
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ-ยุโรปดิ่งจากสงครามการค้าทำหุ้นกลุ่มธนาคาร ค้าปลีกร่วงแรง นักลงทุนแห่ซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย ดันราคาทองคำพุ่ง ด้านหุ้นไทยเผชิญแรงกดดันตาม Sentiment โลก คาด SET Index แกว่งตัวแถว 1,160-1,180 จุด แนะนำ BCH,CPALL
บล.จีซีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) หรือ GCSI โดย Trend Spotter สรุปภาพรวมตลาด : ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดลบต่อเนื่องเป็นวันที่สอง โดยในระหว่างวันดัชนี DJIA ร่วงลงกว่า 840 จุด
ขณะที่ Nasdaq ปรับตัวลงมาสู่เขตปรับฐาน (Correction Territory) จากความกังวลสงครามการค้าระหว่างประเทศ (ดัชนี VIX วัดความวิตกพุ่งถึง 8.7% ระหว่างวัน) หลังปธน. ทรัมป์ประกาศเก็บภาษี 25% จากสินค้าของแคนาดาและเม็กซิโกซึ่งมีผลเมื่อวานนี้ (4 มี.ค.) และเรียกเก็บภาษี 10% เพิ่มเติมจากสินค้าจีนเป็น 20%
ขณะที่จีนตอบโต้ด้วยการเรียกเก็บภาษีสินค้าจากสหรัฐเพิ่มขึ้นสูงสุดถึง 15% มีผลบังคับใช้ 10 มี.ค. เช่นเดียวกับปธน. คลอเดีย เชมบัม ของเม็กซิโกที่กล่าวว่าจะตอบโต้ด้วยภาษีและมาตรการอื่นๆ ภายในสุดสัปดาห์นี้
นอกจากนี้ ทรัมป์ยังได้ตอบโต้ว่าจะเพิ่มอัตราภาษีให้สูงขึ้นหลังจากที่นายกฯ ทรูโดของแคนาดาเตรียมเรียกเก็บภาษี 25% จากสินค้าของสหรัฐเช่นกัน กดดันให้หุ้นของบริษัทที่มีการนำเข้าสินค้าอย่าง GM (-4.5%), Ford (-2.9%), Chipotle (-2.1%), Target (-3%) ร่วงลง
ตลาดหุ้นสหรัฐยังถูกกดดันนำโดยแรงขายหุ้นกลุ่มธนาคาร (Citigroup -6.2%, JPMorgan Chase -4%) และกลุ่มค้าปลีก จากรายงานตัวการเติบโตทางเศรษฐกิจสหรัฐที่ชะลอตัว ท่ามกลางความกังวลว่านโยบายการค้าระหว่างประเทศนี้จะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อสหรัฐยังคงอยู่ในระดับสูงและสนับสนุนให้แนวโน้มที่ Fed จะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยไว้ยังคงอยู่
อย่างไรก็ตาม ติดตามคำกล่าวของทรัมป์ต่อสภาคองเกรส เกี่ยวกับมาตรการภาษีศุลกากร และประเด็นสำคัญอื่น วันนี้แรงกดดันจากสงครามการค้านี้ ยังส่งผลให้ตลาดหุ้นภูมิภาคอื่น ทั้งดัชนี STOXX600 และ FTSE100 ร่วงลงมา และเกิดแรงซื้อในสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำ (+0.7%) รวมถึงสร้างความกังวลว่าอาจทำให้อุปสงค์น้ำมันลดลง กอปกับการที่ OPEC+ ยืนยันการเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันในเดือนเม.ย. ตามเดิม ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ร่วงลงมา 0.8%
คาดSET Index แกว่งผันผวนบริเวณ 1,160-1,180 จุด
เราคาดว่า SET Index จะแกว่งผันผวนบริเวณ 1,160-1,180 จุด โดยเรามองว่าดัชนี SET ในช่วงเช้ามีโอกาส Technical Rebound ที่บริเวณ 1,180 จุด แต่ Upside ยังคงจำกัด จากปัจจัยกดดันทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะ Sentiment ลบตามตลาดหุ้นสหรัฐและความกังวลเกี่ยวกับ Trade war ที่ส่งผลให้ตลาดหุ้นต่างๆ อยู่ในสถานะ Risk Off ขณะที่นักลงทุนต่างชาติยังคงสถานะขายหุ้นไทย
ประเด็นสำคัญหุ้นไทย
1) สำหรับหุ้น ADVANC TRUE ที่ปรับตัวลดลงมา เรามองว่ากลุ่มโทรคมนาคมไทยมีการประเมินมูลค่าที่สะท้อนถึงการแข่งขันที่ไม่รุนแรงและตลาดที่มีผู้เล่นเพียงสองราย ขณะที่เราเชื่อว่าแนวโน้มในปี 2025-26 น่าจะขึ้นอยู่กับการเติบโตของธุรกิจหลักซึ่งน่าจะชะลอตัว เรายังแนะนำ Neutral กลุ่มโทรคมนาคมไทยเพราะเชื่อว่านักลงทุนควรรอดูผลการประมูลคลื่นความถี่และราคาประมูลสุดท้ายที่กสทช. เตรียมเปิดประมูลในเดือนเม.ย. 2025 และ เราคาดว่าผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ทั้งสองจะประมูลย่านความถี่ mid-band (2100 และ 2300MHz) เพื่อรองรับ 4G/5G และเทคโนโลยีในอนาคต
2) สำหรับหุ้น AOT : การแก้ไข ELCID, การเลื่อนชำระเงินของ King Power อาจทำให้ตลาดตอบสนองในทางลบกับราคาหุ้นในระยะสั้น รวมถึงการปรับลดคาดการณ์ EPS ของตลาดในอนาคตด้วย
หุ้นแนะนำ
BCH : BCH กล่าวว่าหากไม่รวมรายได้จากผู้ป่วยชาวคูเวต บริษัทจะมีรายได้จากผู้ป่วยต่างชาติ +17% yoy ในปี FY24 และเราคาดว่ารายได้จากกิจการโรงพยาบาลจะ +8% yoy ในปี FY25-26 จากที่ทรงตัวในปี FY24 นอกจากนี้ เราคาดว่าอัตราส่วน SG&A/รายได้ น่าจะลดลงอีกในปี FY25
(Take profit : 16.6 / Stop loss : 15.4)
CPALL : CPALL ออกมาปฏิเสธการเข้าร่วมลงทุน Management Buyout (MBO) ของบริษัท Seven & i Holdings (7&i) แล้วจึงทำให้ overhang หายไป และ CPALL ยังน่าสนใจเพราะซื้อขายที่ P/E 17x ในปี FY25 เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของกลุ่มที่ 18x
(Take profit : 54.25 / Stop loss : 51.75)
#MacroWealthResearch
#CGSInternational