HoonSmart.com>>บล.พาย แนะถือเงินสด 70% รอเก็บแถวแนวรับ “1,000 จุด” โอกาสทองนักลงทุนระยะยาว ส่วนหุ้นถือ 30% ใน 5 กลุ่มหลักที่ยืนได้ในช่วงหุ้นลง เศรษฐกิจโลก – ไทยอ่อนแอ จากสงครามการค้า สงครามเทคโนโลยี มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจไม่อาจกระตุกกำลังซื้อ
*ตลาดหุ้นไทยยังมีแรงกดดันจากสงครามการค้า-เทคโนโลยี และปัจจัยในประเทศที่ยังซบเซา
*แนะนำถือเงินสด 70% และลงทุนหุ้น 30% เพื่อรับมือความเสี่ยง
*หาก SET ลงแตะ 1,000 จุด ให้พิจารณาเพิ่มสัดส่วนการลงทุน
*แนะลงทุนกลุ่มเฮลท์แคร์ ท่องเที่ยว ยืนได้ช่วงเศรษฐกิจโลกผันผวน หุ้นที่มี P/E ต่ำและปันผลสูง อสังหาฯ, เฮลท์แคร์ และโลจิสติกส์ น่าสนใจ
*วิกฤติอาจซ่อนโอกาส – นักลงทุนที่กล้าซื้อเมื่อทุกคนกลัว อาจเป็นผู้ชนะในระยะยาว

นายกวี ชูกิจเกษม ประธานเจ้าหน้าที่สายบริหารพอร์ตการลงทุน บล. พาย (PI) มองว่าปี 2568 ดัชนีหุ้นไทย (SET) ยังมีโอกาสปรับตัวลงต่อ แต่อยู่ในกรอบจำกัด โดยมองแนวรับแถวระดับ 1,000 จุดหากไทยถูกขึ้นภาษีนำเข้า ที่เป็นโอกาสจังหวะเข้าซื้อที่ดี สำหรับนักลงทุนระยะยาว โดยปัจจุบัน SET ที่เคลื่อนไหวอยู่แถว 1,200 จุดมีการปรับลดลง 30% จากระดับ 1,700 จุด พอๆ กับช่วงเกิดวิกฤติซับไพรม์และโควิด-19 แล้ว ถือเป็นจุดที่ Valuation ต่ำมาก P/BV อยู่ที่ 1.2 เท่า และให้อัตราเงินปันผลที่สูงกว่า 4% ซึ่งเริ่มน่าสนใจสำหรับการลงทุน
สำหรับ ปัจจัยกดดันตลาดหุ้นไทย เป็นผลมาจากสงครามการค้า และ สงครามเทคโนโลยี ที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก โดยเศรษฐกิจยุโรปกำลังเข้าสู่ภาวะถดถอย ส่วนส่วนจีนยังฟื้นตัวได้ช้า มีเพียงสหรัฐฯ ที่ยังพอประคองการเติบโตของเศรษฐกิจโลกไว้ได้ ขณะที่เศรษฐกิจไทยคาดว่าจะขยายตัวเพียง 2.5%-3% ซึ่งถือว่าต่ำและไม่มีแรงขับเคลื่อนเพียงพอให้ตลาดหุ้นกลับมาคึกคัก กำไรของตลาดหุ้น (EPS) ปัจจุบันอยู่ที่ 92 บาท และยังมีโอกาสถูกปรับลดลงอีก ในขณะที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2567 ด้วยการแจกเงิน 1.7 แสนล้านบาทไม่สามารถกระตุกกำลังซื้อเพิ่มขึ้นได้
กลยุทธ์รับมือ
ทั้งนี้ บล.พาย ชี้ว่าปีนี้ตลาดหุ้นมีความไม่แน่นอนสูง นักลงทุนต้องใช้ความระมัดระวัง การถือเงินสดจำนวนมากและเลือกลงทุนเฉพาะหุ้นพื้นฐานดีจะเป็นกลยุทธ์ที่เหมาะสมที่สุด โดยแนะนำให้ ถือเงินสด 70% และลงทุนหุ้น 30% เพื่อรักษาสภาพคล่องและลดความเสี่ยง อย่างไรก็ตาม หากดัชนีปรับตัวลงแตะ 1,000 จุด นักลงทุนควรพิจารณาเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นมากขึ้น
โอกาสอยู่ที่ไหน?
ทั้งนี้ 30% ของการลงทุนในหุ้น ให้เลือกหุ้น Defensive ที่สามารถยืนได้ในช่วงที่เศรษฐกิจโตช้า และให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว ในหุ้นที่มี P/E ต่ำและเงินปันผลสูง โดยเฉพาะใน 5 กลุ่มหลัก ได้แก่
1.กลุ่มเฮลท์แคร์ – ธุรกิจโรงพยาบาลและสุขภาพยังมีแนวโน้มเติบโตจากการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์
2.กลุ่มท่องเที่ยว
“ทั้ง 2 กลุ่มนี้ สามารถยืนได้ในยามที่เศรษฐกิจโลกผันผวนและเศรษฐกิจไทยโตต่ำ”นายกวี กล่าว
3. กลุ่มโลจิสติกส์และสื่อสาร – ได้รับอานิสงส์จากการขยายตัวของอีคอมเมิร์ซและการใช้เทคโนโลยีที่เพิ่มขึ้น รวมไปถึงนิคมอุตสาหกรรม แต่ปัจจุบันราคาหุ้นยังอยู่ในระดับสูง
4.กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ – ปัจจุบันซื้อขายที่ P/E เพียง 5 เท่า ถือว่าต่ำกว่ามูลค่าที่เหมาะสม แต่ให้เงินปันผลสูงถึง 6-7% ต่อปี โดยเน้นบริษัทขนาดใหญ่ ไม่มีหนี้ รายได้เติบโต และมีการปันผลสม่ำเสมอ ซึ่งต่างจากโบรกเกอร์รายอื่นๆ ที่แนะให้หลีกเลี่ยงการลงทุนในกลุ่มอสังหาฯ
5.กลุ่มธนาคารพาณิชย์
“ข้างต้นคือหุ้นหลักๆ ของการลงทุนในหุ้น ที่เหลือรองจากนั้นก็จะมีการหาหุ้นเติบโตสูง ขณะเดียวกันก็ไม่พลาดที่จะเก็บหุ้น Bottom Fishing ที่มีราคาลงไปต่ำมากๆ “นายกวี กล่าว