กกร.แนะเร่งตั้งวอร์รูมเจรจาสหรัฐ รับมือสงครามการค้าก่อนถูกขึ้นภาษี

HoonSmart.com>>กกร. ชี้สงครามการค้ารอบใหม่สหรัฐฯ กับเม็กซิโก แคนาดา และจีน กระทบไทย เร่งตั้งวอร์รูม-ล็อบบี้ยิสต์ เจรจาสหรัฐฯ หนุนเมดอินไทยแลนด์ รับมือสินค้าจีนทะลัก-แข่งขันรุนแรง

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) เป็นประธานการประชุม คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ร่วมกับนายสนั่น อังอุบลกุล ประธานสภาหอการค้าไทย และ ดร.พชรพจน์ นันทรามาศ ผู้แทนสมาคมธนาคารไทย

นายเกรียงไกร สรุปผลประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ว่า สงครามการค้ารอบใหม่เริ่มแล้วที่เม็กซิโก แคนาดา และจีน ท่ามกลางการตอบโต้ โดยสหรัฐฯ ขึ้นอัตราภาษีนำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดา 25% และจีน 10% ซึ่งจะส่งผลลบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจในปี 2568 และจะยิ่งส่งผลกระทบมากขึ้นในปี 2569

“ในระยะสั้นจะส่งผลดีต่อการส่งออกไทย เพราะสินค้าเราจะถูกกว่าประเทศที่ถูกขึ้นภาษี แต่ระยะยาวยังต้องระวังเพราะไทยอยู่ในเรดาร์ถูกขึ้นภาษี จากการที่เราได้ดุลการค้าสหรัฐฯ”นายเกรียงไกร กล่าว

นายเกรียงไกร กล่าวว่า แผนเร่งด่วนในการหาทางออกเรื่องถูกขึ้นภาษี คือ รัฐควรเร่งให้เกิดวอร์รูมที่มีเอกชนร่วมด้วยเพื่อเจรจากับทางสหรัฐอเมริกาผ่านสมาคมทางการค้าต่างๆ ของสหรัฐฯ และการหาล็อบบี้ยิสต์เก่งๆ เพื่อเจรจากับทางสหรัฐฯ ในการแลกเปลี่ยนสินค้ากัน เช่น สหรัฐฯต้องการขายยุทโธปกรณ์ ไทยจะใช้อะไรแลก

นอกจากนี้ ต้องร่วมกับประเทศอาเซียนในการเจรจากับสหรัฐฯซึ่งจะเพิ่มอำนาจการต่อรองได้สูงกว่าการเจรจาเดี่ยว

รวมถึง ต้องหามาตรการปกป้องผู้ประกอบการไทยจากสินค้าจีนที่จะเข้ามาแย่งตลาด เช่นการส่งเสริมให้ใช้สินค้าไทย หรือชูเรื่องเมดอินไทยแลนด์ กลับมาอีกครั้ง โดยปีที่ผ่านมากระทบ 23 กลุ่มสินค้า เช่น เหล็ก พลาสติก เครื่องใช้ไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เครื่องนุ่งห่ม แก้วและกระจก เครื่องสำอาง เป็นต้น หากไม่ทำอะไรจะกระทบถึง 30 กลุ่มจากปัญหาสงครามการค้าและการแยกขั้ว (De-coupling) ทะลักเข้ามาในประเทศ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการผลิตและการจ้างงาน

สำหรับ มุมมองด้านเศรษฐกิจไทยเดือนก.พ.นั้น กกร. มองว่าปี 2568 การเติบโตของ GDP อยู่ที่ 2.4% ถึง 2.9%
การส่งออก 1.5% ถึง 2.5% ด้านเงินเฟ้อมองที่ 0.8% ถึง 1.2%

การขยายตัวทางเศรษฐกิจ มีแนวโน้มขยายตัวจำกัด การกีดกันทางการค้าที่รุนแรงและทิศทางค่าเงินบาทที่แข็งค่าอย่างต่อเนื่องเป็นความท้าทายต่อการส่งออก

ส่วนภาคอุตสาหกรรมบางสาขาเผชิญการแข่งขันจากสินค้าต่างชาติ ขณะที่อุปสงค์ภายในประเทศยังอ่อนแอ จึงจำเป็นอย่างยิ่งในการวางแนวทางเพื่อลดผลกระทบทั้งในระยะสั้นและในระยะยาว โดยใช้ประโยชน์จากกระแสการแยกขั้วของ Supply Chain ดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) ซึ่งในปีที่ผ่านมาการขอรับการส่งเสริมการลงทุนสูงถึง 1.14 ล้านล้านบาทสูงสุดในรอบ 10 ปี

นายเกรียงไกร กล่าวว่า กกร. ได้เสนอแนวทางเตรียมความพร้อมรับมือทั้งผลกระทบจากทางตรงและทางอ้อมจากสงครามการค้าในระยะยาว ดังนี้

1.การเจรจาระดับรัฐเพื่อป้องกันและบรรเทาการใช้มาตรการทางการค้าจากสหรัฐฯ รวมทั้งสร้างความร่วมมือกับประเทศในอาเซียนเพื่อเสริมสร้างเศรษฐกิจร่วมกัน
2.การสนับสนุนในด้านกฎหมาย กฎระเบียบการค้า เพื่อช่วยเหลือภาคเอกชนที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการทางการค้าของสหรัฐฯ
3.การบูรณาการเพื่อช่วยเหลืออุตสาหกรรมภายในประเทศและการปฏิรูปกฎหมายเพื่อรักษาขีดความสามารถในการแข่งขัน
4.การใช้มาตรการทางการค้าเพิ่มเติม นอกเหนือจากมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti-Dumping :AD) ปรับลดระยะเวลาการไต่สวนการใช้มาตรการทางการค้า และการใช้มาตรการควบคุมการนำเข้าตาม พ.ร.บ.การส่งออกไปนอกและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้า พ.ศ.2522
5.การควบคุมการตั้งหรือขยายโรงงาน รวมทั้งการให้การส่งเสริมในอุตสาหกรรมที่มีกำลังการผลิตเกินความต้องการ (Over Capacity) รวมถึงการกำกับดูแลภาคอุตสาหกรรมในเขต Freezone อย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันการลักลอบนำสินค้าและวัตถุดิบกลับมาขายในประเทศ

6.การส่งเสริมสินค้าที่ผลิตในประเทศ หรือสินค้าที่ได้รับการรับรอง Made in Thailand (MIT) ทั้งการ เพิ่มสัดส่วนการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ การส่งเสริมขยายตลาดภาคเอกชน รวมทั้งการกำหนดเงื่อนไข การใช้สินค้าที่ผลิตในประเทศในโครงการรัฐ เช่น การกำหนดการใช้สินค้าไทยในโครงการบ้านเพื่อคนไทย ไม่น้อยกว่า 90% ของมูลค่าโครงการ