‘กอบศักดิ์’ แนะ 6 ธีมเลือกหุ้นปี67 จับตา 4 ปัจจัยเสี่ยง-ไทยฟื้น!หวังทุนไหลเข้า

HoonSmart.com>>”กอบศักดิ์ ภูตระกูล”ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) แนะหาโอกาสรวยจากหุ้น 6  ธีม ธนาคารกลางหลายประเทศเดินหน้าลดดอกเบี้ย 1-2 ปี  พุ่งเป้าหุ้นที่ให้ความสำคัญและปรับตัวรับ 5 ธีมใหญ่ของโลก  เตือน 4 ปัจจัยเสี่ยง เผยผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่น  3 เดือนข้างหน้าอยู่ในเกณฑ์ “ร้อนแรง” ฝีมือต่างชาติและสถาบันไทย กลุ่มธนาคารได้รับความสนใจมากที่สุด ตรงข้ามกับปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ ถูกเมิน 

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เปิดเผยว่า ในปี 2566 ตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนต่ำที่สุด ติดลบถึง 15.2% ขณะที่ดัชนีแนสแด็กให้ผลตอบแทนสูงกว่า 43.4% เพราะหุ้นเทคได้รับความนิยมมาก แต่ปีนี้ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสในการลงทุนจากธีมธนาคารกลางหลายประเทศปรับลดดอกเบี้ยลง ซึ่งจะเกิดขึ้นในช่วง 1-2 ปีนี้ ขณะนี้หลายธนาคารเริ่มลดลงแล้ว ส่วนสหรัฐ (เฟด) คาดว่าจะเกิดขึ้นในเดือนก.ย.นี้

ขณะเดียวกันนักลงทุนควรเลือกลงทุนในหุ้นที่บริษัทให้ความสำคัญและมีการปรับตัวหาโอกาสจาก 5 ธีม  คือ Digital Transformation ,เงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่เข้ามามากก่อให้เกิดซัพพลายเชน, Regionalization and Globalization ของบริษัทไทย ,การลงทุน เพื่อรองรับกระแส ESG และการเปลี่ยนผ่านพลังงานสะอาด และการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของประเทศต่างๆ

ส่วนการลงทุนระยะยาว หาโอกาสจากการเปลี่ยนแปลงของโลกเข้ามากระทบ The Great Disruption ได้แก่ Technology Disruption, Economic Disruption , Geopolitics Disruption และ Climate Disruption ที่เกิดขึ้นนานนับ 10 ปี

“ควรมองหาโอกาสจากธีมการปรับตัวรองรับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลง จะมีโอกาสพอสมควรที่รับซัพพลายเชนต่างๆ ใครเตรียมการ หรือหยิบฉวยโอกาสนี้ เราในฐานะผู้ถือหุ้นก็จะได้โอกาสด้วย”นายกอบศักดิ์กล่าว

อย่างไรก็ตาม การลงทุนจะมีความเสี่ยงจาก 4 ปัจจัย ได้แก่ 1.การชะลอตัวต่อเนื่องของเศรษฐกิจโลก IMF คาดว่าจะเป็นปีที่เศรษฐกิจโลกต่ำที่สุด จากเดิมคาดปี 2565
ปัญหาปีนี้เกิดขึ้นที่ยุโรปเศรษฐกิจโต 1% สหรัฐเกิดปัญหามากกว่าที่คาดการณ์ ดัชนี PMI คำสั่งซื้อของภาคอุตสาหกรรมสหรัฐ ต่ำกว่า 50 ส่วนเอเชียพอไปได้

2.ปัญหาของจีน หุ้นกู้ของเบอร์ 1 อสังหาริมทรัพย์จีน  Country Garden จะครบกำหนดชำระคืนวันที่ 27 ม.ค.นี้ จากการออกมาหลายรอบ ราคาเคยขายที่ 105-106 หยวน จากราคาหน้าตั๋ว 100 หยวน ตอนนี้ซื้อขายเพียง 8 หยวน หมายความว่าคนจำนวนมากคิดว่าโอกาสจะได้เงินคืนน้อย  ส่วนราคาหุ้น เมื่อ 5 ปีก่อน เคยอยู่ที่ 17.5 ฮ่องกงดอลลาร์ ตอนนี้ลงมาซื้อขายที่ 0.7 ฮ่องกงดอลลาร์ มูลค่าหายไป 97% สะท้อนถึงความมั่นใจ

นอกจากนี้เงินเฟ้อจีนก็ติดลบ ราคาสินค้าที่จีนที่ผลิตขายหน้าโรงงาน (PPI) ติดลบ 3-5% เทียบกับปีก่อน  แสดงว่ายอมขายสินค้าในราคาถูกลง รวมถึงค่าเงินหยวนก็อ่อนค่าลง 5-6% ในช่วง 2 ปีอ่อนค่า 10% หากส่งสินค้าออก สามารถขายได้ถูกลง 10-15% ทำให้เงินเฟ้อโลกลดลงเร็ว ส่วนไทยเงินเฟ้อติดลบ เจอการทุ่มตลาดของจีนกับสินค้าไทย 20 กว่าอุตสาหกรรม ในราคาต่ำลง 10%

3.สงครามที่เกิดขึ้นเริ่มขยายวงกว้างขึ้น สิ่งที่เกิดขึ้นต่อเศรษฐกิจโลก คือการปิดทะเลแดง และมีการปล้นเรือที่มาจากอิสราเอล ทำให้การขนส่งต้องอ้อมไปแอฟริกา ต้นทุนเพิ่มขึ้น และเกิดผลพวงตามมา เช่น มาเลเซียไม่ให้เรืออิสราเอลเข้ามาใช้ท่าเรือ สะท้อนว่าสถานการณ์ไม่จบง่าย

4. วิกฤตของตลาดเกิดใหม่และความผันผวนของตลาดการเงินโลก ค่าเงินของอาร์เจนตินาลดลงมาก และแอฟริกาประกาศหยุดการชำระหนี้ของภาครัฐ เพราะปัญหาดอกเบี้ยสูงและเศรษฐกิจไม่ดี ก็ต้องรอดูปัญหาต่อไป

สำหรับไทยคาดว่าเศรษฐกิจปี  2567 ขยายตัว 3-4% ขึ้นอยู่กับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ หลังจากซวนเซมา2-3 ปี ตอนนี้เริ่มตั้งหลักได้ จากส่งออก การท่องเที่ยว การบริโภคดีขึ้น แต่การผลิตภาคอุตสาหกรรม กำลังมีปัญหามีการใช้กำลังการผลิตต่ำกวา 90% เพราะสินค้าจีนเข้ามาทุ่มตลาด โดยเฉพาะฮาร์ดดิสก์ หายไปมาก ส่วนชิ้นส่วนยานยนต์และปิโตรเคมีพอไปได้

” ส่งออกไทยเคลื่อนไหวตามต่างประเทศ เช่น จีนก็เริ่มเป็นบวก ปีนี้ส่งออกเสมอตัวก็สามารถเลี้ยงตัวเองได้ ส่วนท่องเที่ยวก็ดี คาดว่านักท่องเที่ยวต่างชาติจะเข้ามา 35 ล้านคน จากปีก่อนคาด 28 ล้านคน เพิ่มขึ้นแค่ 7 ล้านคน ไม่ได้เพิ่มมากเหมือน 2 ปีที่ผ่านมา  เพิ่มปีละ 11-27 ล้านคน  ทำให้แรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจโตไม่เท่าอดีต”นายกอบศักดิ์กล่าว

นายกอบศักดิ์กล่าวถึงผลสำรวจ FETCO Investor Confidence Index  ดัชนีความเชื่อมั่นรวมทุกกลุ่มนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า (มี.ค. 2567) อยู่ในเกณฑ์ “ร้อนแรง” (ช่วงค่าดัชนี 120-159) ปรับขึ้น 38.9% จากเดือนก่อนหน้า มาอยู่ที่ระดับ 137 ความเชื่อมั่นกลุ่มนักลงทุนบุคคล และกลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์อยู่ในเกณฑ์ “ทรงตัว” กลุ่มนักลงทุนต่างประเทศอยู่ในเกณฑ์ “ร้อนแรง” ในขณะที่กลุ่มนักลงทุนสถาบันอยู่ในเกณฑ์ “ร้อนแรงอย่างมาก”

หมวดธุรกิจที่น่าสนใจมากที่สุด คือ หมวดธนาคาร (BANK)
หมวดธุรกิจที่ไม่น่าสนใจมากที่สุด คือ หมวดปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ (PETRO)

ปัจจัยหนุนที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ การไหลเข้าของเงินทุน ส่วนการถดถอยของเศรษฐกิจเป็นตัวฉุด

ตลาดหุ้นในเดือนธ.ค.2566 SET Index ปรับตัวเพิ่มขึ้น ได้รับปัจจัยหนุนจากปัจจัยบวกหลายประการ อาทิ ผลการประชุมเฟดคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 5-5.25% และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 2.50% ตามที่ตลาดคาดการณ์ อีกทั้งแรงหนุนจากการเปิดขายกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (ThaiESG)

อย่างไรก็ตาม ปริมาณการซื้อขายค่อนข้างบางเบาเฉลี่ย  39,980 ล้านบาท/วัน เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติเข้าสู่วันหยุดยาวเทศกาลคริสต์มาส  นักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิราว 70 ล้านบาท ตั้งแต่ต้นปียังคงขายสุทธิรวมกว่า 192,083 ล้านบาท โดย ณ สิ้นปี SET Index ปิดที่ 1,415.85 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.6% จากเดือนก่อนหน้า

ปัจจัยต่างประเทศที่ต้องติดตาม ได้แก่ แนวโน้มการผ่อนคลายนโยบายการเงินในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลัก อาทิ สหรัฐฯ และ ยุโรป จากอัตราเงินเฟ้อที่ลดเร็วกว่าคาด และนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน นอกจากนี้ ความเสี่ยงทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ยังเป็นประเด็นที่ต้องจับตามอง ทั้งสถานการณ์ระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาส ความขัดแย้งในรัสเซีย-ยูเครนที่ยังไม่สิ้นสุด และผลการเลือกตั้งในไต้หวันในวันที่ 13 มกราคม 2567 ที่จะเป็นจุดชี้ชะตาสำคัญต่อความเป็นไปได้ในการเกิดการสงครามระหว่างไต้หวัน-จีน

ส่วนปัจจัยในประเทศที่น่าติดตาม ได้แก่ การลงทุนภาครัฐที่มีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าคาดการณ์จากความล่าช้าของ พ.ร.บ. งบประมาณประจำปี 2567 การฟื้นตัวของภาคการส่งออกจากแนวโน้มการค้าโลกที่มีการขยายตัวสูงขึ้น และการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวหลังนักลงทุนจีนเข้ามาน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้