SJWD ตั้งเป้ารายได้ปี 68 โต 10% ธุรกิจขนส่งร่วม FUZE เล็งเทิร์นอะราวด์

HoonSmart.com>>”เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์”(SJWD) ตั้งเป้ารายได้ปี 68 โต 10% จากธุรกิจขนส่ง-คลังสินค้า-ห้องเย็น เตรียมเปิดให้บริการห้องเย็นที่เชียงใหม่ในเดือนพ.ค.นี้ ส่วนธุรกิจขนส่งที่ร่วมกับ FUZE เล็ง Turnaround ปีนี้ แผนเพิ่มจุด Dot point หลายเท่าตัว แม้ธุรกิจ SCG ชะลอ แต่ SJWD จะไม่ เพราะ Timeshare เป็นบวก จากหลายแบรนด์รถไฟฟ้าจากจีน ขยายตลาดไปในภูมิภาคเพื่อให้บริการกับลูกค้าครบทุกกลุ่ม

นายเอกพงษ์ ตั้งศรีสงวน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บริษัท เอสซีจี เจดับเบิ้ลยูดี โลจิสติกส์ (SJWD) เปิดเผยว่า บริษัทฯคงเป้าการเติบโตรายได้ในปี 2568 ไว้ที่ 10% จากธุรกิจขนส่ง ซึ่งกำไรคงจะเติบโตไม่มาก แต่เพิ่มขึ้นกว่าปี 2567 และไม่คาดหวังมาร์จิ้นจะโตขึ้น ซึ่งธุรกิจขนส่งจริง ๆ กำไรจะน้อยกว่ากิจกรรมอื่น ให้มาร์จิ้น 18-20% ก็ดีแล้ว ขณะที่กิจกรรมอื่นจะให้มาร์จิ้นสูง 30-50%  เช่น ธุรกิจคลังสินค้าห้องเย็น ซึ่งปีนี้จะขยายถึง 3 Location

ทั้งนี้ คลังสินค้าห้องเย็นที่เชียงใหม่กำลังจะเสร็จ คาดว่าจะเปิดดำเนินการได้จริงในเดือนพ.ค. ซึ่งมีขนาด 3,000 ตารางเมตร  สร้างเป็นศูนย์กระจายสินค้า (Distribution) และถ้ามีดีมานด์ก็จะลงทุนสร้างเต็มรูปแบบ

“เรามีแผนที่จะนำคลังสินค้าตามหัวเมืองต่าง ๆ มาปรับเปลี่ยนเพื่อให้สามารถทำกำไรได้สูงขึ้น มีแผนที่จะขยายไปตามหัวเมืองเหล่านี้เพิ่มเติม เพื่อทดสอบตลาด เป็นอันหนึ่งที่เป็นจุดสำคัญของเรา…เวลานี้เราทำขนส่งที่ร่วมทำกับ FUZE Post และมีร่วมกับไปรษณีย์ไทยด้วย ซึ่งในปีนี้มีแผนเพิ่มจุด Dot point หลายเท่าตัว จากปัจจุบันมีหลายร้อยจุด เริ่มจาก 70 จุด เชื่อว่าปีนี้ตั้งเป้า Turnaround ในส่วนของ FUZE ตรงนี้ก็จะมา match กับ Distribution Center ของเรา ทุกอย่างที่เราสร้างมา สุดท้ายจะ Connect กันหมด แต่ต้องใช้เวลา”

ปี 2568 วางเป้างบลงทุนไว้กว่า 900 ล้านบาท เฉพาะ Organic แต่สูงสุดวางไว้ไม่เกิน 1,200 ล้านบาท กรณีไม่มี M&A สร้างห้องเย็นปีละ 1 หลัง แต่ต้องดูที่ขนาดของห้องเย็นด้วย โดยขนาดเล็ก 200-300 ล้านบาท ขนาดกลาง 800-900 ล้านบาท ขนาดใหญ่เกิน 1 พันล้านบาท ถึง 2 พันกว่าล้านบาท ซึ่งในปี 2567 ได้ปิดดีลขนาดใหญ่ และกลาง ตอนนี้ไม่มีขนาดใหญ่ มีแต่ขนาดเล็กเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็วางเป้า Inorganic อย่างน้อย 2 ดีล

ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน SJWD กล่าวว่า  ช่วงนี้ธุรกิจ SCG จะชะลอตัวลง แต่ไม่ได้หมายความว่าธุรกิจ SJWD จะ Drop ไปด้วย เพราะ Timeshare (สัดส่วนงานที่มอบหมายให้ทำ) บริษัทฯปรับตัวขึ้น บวกกันงานอื่น โดยธุรกิจขนส่งจะมีรถไฟฟ้าแบรนด์จีนหลายแบรนด์ที่จะเข้ามา ทำให้ธุรกิจขนส่งโตขึ้น โดยบริษัทมีรายได้จากธุรกิจขนส่ง 50% ของรายได้รวม

“กำไรของบริษัทจะเติบโตจากสิ่งใหม่ ๆ ในช่วง 3-5 ปีมีการซื้อธุรกิจ สร้างธุรกิจใหม่ เจาะตลาดใหม่ ทุกวันนี้มี Operation ที่ประเทศเวียดนาม, กัมพูชา, เมียนมา, ลาว และอินโดนีเซีย ส่วนฟิลิปปินส์กำลังจะไป แต่ไม่เข้าไปที่มาเลเซีย เพราะเราได้เข้าลงทุนในบริษัท Swift ในมาเลเซียแล้ว ซึ่งบริษัทจะขยายตลาดไปในภูมิภาคให้บริการกับลูกค้าครบทุกกลุ่ม”

การรวมกับ SCG วัตถุประสงค์ไมใช่เพื่อเพิ่มวอลุ่มขนส่งสินค้า แต่เพื่อสร้าง New S-Curve จากการซื้อ Fleet, ขยายคลังสินค้าห้องเย็น ลงทุนเกี่ยวกับธุรกิจเคมี (Chemical) ซึ่ง SJWD เติบโตในรูปแบบเฉพาะ โดยรวมแล้วทำให้บริษัทเติบโตอย่างมีศักยภาพแข็งแกร่ง และวันนี้บริษัทมุ่งทำกำไรสูงขึ้น เริ่มทำกับธุรกิจอาหาร โดยการทำห้องเย็น

“หลังจากที่เรารวมกับ SCG ได้งานขนส่งปูน ถ่านหิน วัสดุก่อสร้างต่าง ๆ ซึ่งมาร์จิ้นจะต่ำ แต่เป็น High Volume โดยลักษณะธุรกิจของ SJWD กับ SCG Logistic จะแตกต่างกัน พอมารวมกันก็ต้องหาวิธีที่จะทำให้กำไรดีขึ้น ปัจจุบันหันมาใช้วิธี Matching ลูกค้าขากลับ เพราะขาไปขนสินค้าของ SCG ไป แต่ขากลับมีสินค้ากลับมาแค่ 20% ทำให้ต้นทุนสูง การทำ Matching ขากลับ วอลุ่มเพิ่มขึ้น โดยปี 2567 เพิ่มกว่า 50% ส่วนปี 2568 ตั้งเป้าเพิ่มให้ได้ 60-80% ล่าสุดอัตรากำไรขั้นต้นขนส่งขึ้นมาเกือบ 8% จากอดีต 4-5% และมีเป้าหมายเพิ่มปีละ 1%…ผลของการวมกับ SCG ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ถือว่าทำได้ดีตามลำดับ แต่ยังไม่สมบูรณ์แบบ มีการลดความซ้ำซ้อนไปเกินครึ่ง มีการจัดองค์กรใหม่ เป็นต้น อีกทั้งยังลด SG&A ไปได้ราว 100 ล้านบาทในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา และยังมีโอกาสที่ลดลงไปได้อีก”

นายเอกพงษ์ กล่าวต่อว่า ทรัมป์ 2.0 มีทั้งผลบวก-ลบ โดยมีความกังวลเศรษฐกิจ กับการจับจ่ายใช้สอยที่น้อยลง แต่บริษัทมองโอกาส ซึ่งมองมีกำแพงภาษี ก็ต้องรปรับเปลี่ยนแผนโลจิสติกส์ โดยจีนมีการย้ายฐานไปเวียดนาม, กัมพูชา และไทย ซึ่ง 3 ประเทศนี้บริษัทฯมี Operation อยู่ บริษัทฯจึงเชื่อว่าจะมีโฮกาสได้ลูกค้ากลุมโลจิสติกส์เพิ่ม รวมทั้งมีโอกาสที่จะได้ลูกค้าจีน ดังนั้น ทรัมป์ 2.0 ทำให้บริษัทเก็บงานได้เพิ่มขึ้น

สำหรับการให้บริการลานจอดรถ (Auto Yard) ที่ให้บริการ BYD เฟสแรกข้าง ๆ โรงงานผลิต 50 ไร่ เรียบร้อยแล้ว แต่ไม่เพียงพอกำลังจะขยายเฟส 2 ที่จ.ระยองอีก 100 ไร่ ของบลงทุนกันไปเรียบร้อยแล้ว คาดว่าจะเริ่มทำและเสร็จภายในปี 2568