BGC กำไร Q3 โต 22% ใจป้ำปันผล 6 สต.

“บีจี คอนเทนเนอร์ กล๊าส” โชว์ไตรมาส 3/61 กำไร 84 ล้านบาท เติบโต 22% จากงวดปีก่อนและเพิ่มขึ้น 86% ในงวด 9 เดือน ใจป้ำปันผล 0.06 บาท/หุ้น ปิดสมุดทะเบียน 27 พ.ย.นี้ แย้มไตรมาส 4 โตต่อเนื่อง โรงงานใหม่ที่ราชบุรีเปิดหนุนกำลังผลิตเพิ่ม

บริษัทบีจี คอนเทนเนอร์ กล๊าส (BGC) แจ้งผลดำเนินงานไตรมาส 3/61 กำไรสุทธิ 84.17 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.17 บาท เพิ่มขึ้น 22% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 68.8 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.14 บาท ส่วนงวด 9 เดือน ปี 2561 กำไรสุทธิ 341.33 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.68 บาท เพิ่มขึ้น 86% จากงวดเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 183.12 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.40 บาท

นายศิลปรัตน์ วัฒนเกษตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท บีจี คอนเทนเนอร์ กล๊าส ( BGC) ผู้ผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์แก้วที่มีกำลังการผลิตมากที่สุดในประเทศไทย เปิดเผยว่า สำหรับผลกำไรช่วง 9 เดือนแรกและไตรมาส 3 ของปีนี้ที่เติบโตได้ดี มีปัจจัยมาจากยอดขายบรรจุภัณฑ์แก้วในกลุ่มเครื่องดื่มที่ไม่มีส่วนผสมแอลกอฮอล์ (Soft Drinks) และยอดขายจากตลาดต่างประเทศที่ขยายตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ประกอบกับบริษัทฯ มุ่งเพิ่มสัดส่วนการจำหน่ายบรรจุภัณฑ์แก้วที่มีมูลค่าสูง (High Value Product) และอัตรากำไรขั้นต้นที่ดี ซึ่งต้องใช้ความเชี่ยวชาญและเทคนิคในการผลิต ตลอดจนได้ปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตภายในโรงงาน ควบคุมค่าใช้จ่ายการดำเนินงาน และยังมีต้นทุนการผลิตที่ลดลงหลังจากบริษัทฯ ปิดการใช้งานเตาหลอมแก้วภายในโรงงานจังหวัดระยองที่เปิดใช้มานาน นอกจากนี้ยังได้รับผลดีจากราคาเศษแก้วที่เป็นวัตถุดิบหลักในการผลิต ปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน

ล่าสุดที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานไตรมาส 3/61 ให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตรา 0.06 บาทต่อหุ้น เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 41,666,640 บาท หรือคิดเป็น 49.5% เมื่อเทียบกับกำไรสุทธิของไตรมาส 3/61 กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผลในวันที่ 29 พ.ย.2561 (Record Date) และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 13 ธ.ค.2561

กรรมการผู้จัดการ BGC กล่าวว่า บริษัทฯ ตั้งเป้าเติบโตอย่างต่อเนื่องในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ หลังจากโรงงานผลิตบรรจุภัณฑ์แก้วแห่งใหม่ที่จังหวัดราชบุรีเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์เป็นที่เรียบร้อย โดยมีเตาหลอมแก้วเพิ่มขึ้น 1 เตา จึงทำให้บริษัทฯ มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีก 400 ตันต่อวัน รวมเป็นประมาณ 3,495 ตันต่อวัน ส่งผลดีต่อการขยายตลาดในประเทศและตลาดส่งออก เช่น ในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งยังมีความต้องการใช้บรรจุภัณฑ์แก้วอีกเป็นจำนวนมาก แต่ปัจจุบันมีผู้ผลิตรายใหญ่ในภูมิภาคนี้เพียงไม่กี่ราย เนื่องจากเป็นอุตสาหกรรมที่ต้องใช้เงินลงทุนสูงและต้องมีความมั่นคงด้านแหล่งวัตถุดิบที่เพียงพอใช้ในการผลิต

ทั้งนี้ โรงงานแห่งใหม่ที่จังหวัดราชบุรีได้ใช้เทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัย และมีความสามารถผลิตสินค้าได้ในปริมาณมากเพื่อให้ได้ต้นทุนการผลิตต่อหน่วยต่ำ และมีความยืดหยุ่นในการปรับสัดส่วนวัตถุดิบต่าง ๆ ที่ใช้ในการผลิต ซึ่งจะส่งผลดีต่อต้นทุนการผลิตโดยรวมที่ปรับตัวดีขึ้น

“เราให้ความสำคัญกับการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตภายในโรงงานเดิมให้อยู่ในระดับที่ดี ปรับลดความสูญเสียระหว่างกระบวนการผลิต ควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเพื่อเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้นที่ดียิ่งขึ้น พร้อมกับมุ่งเน้นการขยายตลาดใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มยอดขาย ส่วนแนวโน้มราคาวัตถุดิบนับจากปัจจุบันจนถึงต้นปีหน้า ประเมินว่ายังไม่มีแนวโน้มปรับขึ้นราคา จึงเชื่อว่าเราน่าจะทำผลการดำเนินงานในอนาคตได้ดี” นายศิลปรัตน์ กล่าว

ทั้งนี้ BGC เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์แก้วที่ใช้ในอุตสาหกรรมเครื่องดื่ม อาหาร และยา เพิ่งเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 18 ต.ค.ที่ผ่านมา โดยเสนอขายหุ้นแก่ประชาชนทั่วไปครั้งแรก (ไอพีโอ) จำนวน 194,444,000 หุ้น ในราคาหุ้นละ 10.20 บาท

ด้านราคาหุ้น BGC ปิดตลาดภาคเช้าอยู่ที่ 11.80 บาท ลดลง 0.10 บาท หรือ -0.84% มูลค่าซื้อขาย 76.77 ล้านบาท