โดย…สาธิต บวรสันติสุทธิ์, CFP นักวางแผนการเงิน #หุ้นสมาร์ท
หลงดีใจ สะใจ อยู่แค่วันเดียวกกับข่าวจาก facebook Beauty Investor ที่ว่า “DeepSeek บริษัท AI สัญชาติจีน ได้กลายเป็นที่พูดถึงอย่างกว้างขวาง เมื่อผลงานการพัฒนาเครื่องมือ AI ของบริษัทประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว ในราคาต้นทุนที่ต่ำจนน่าตกใจ แต่สุดท้ายหลังนักวิเคราะห์และผู้เชี่ยวชาญได้เข้าไปใช้งานและตรวจสอบ ก็เกิดคำกล่าวหาว่าอาจเป็น “DeepFake” ซะมากกว่า”
ก็หวังลึกๆนะครับว่า อย่าเป็น DeepFake เพราะอยากให้ความเจริญของโลกนี้ไม่ถูกจำกัดกับประเทศใดประเทศหนึ่ง หรือ บริษัทใดบริษัทหนึ่ง
แต่หากเป็น DeepFake จริงๆ ก็เซ็ง เพราะรู้สึกว่าทุกวันนี้การโกหกกลายเป็นเรื่องปกติ ตัวอย่างที่เห็นในไทยก็กรณีหุ้น STARK, MORE, EA, ฯลฯ ทำให้เกิดวิกฤติศรัทธาไม่กล้าเชื่ออะไรใครอีกแล้ว เหมือนอย่างที่ไม่กล้าให้ใครยืมเงินเช่นกัน เพราะกลายเป็นวัฒนธรรมไทยไปแล้ว ที่ “ยืมเงินใคร ไม่ต้องคืนก็ได้”
ตัวอย่างหนึ่งเกี่ยวกับการโกหกที่ผมประสบกับตัวเองมาโดยตรง ก็คือ เมื่อต้นปีที่ผ่านมาผมได้รับการติดต่อจากอาจารย์ที่นับถือท่านหนึ่งให้เข้าไปทำ Project กับองค์กรหนึ่งที่ทำธุรกิจเป็นสถาบันการศึกษาให้การอบรมในเรื่องของวิชาชีพและจรรยาบรรณทางด้านการเงิน โดยให้ทำหลักสูตร ติวสอบ IC License ในวันที่คุยเรื่องโครงการกับอาจารย์และผู้บริหารขององค์กรที่ได้เข้าร่วมประชุมด้วยหลายท่าน เนื้อหาที่ประชุมในวันนั้น คือ การทำหลักสูตรในรูป online เพราะว่า องค์กรมีงบประมาณจำกัด และค่าตอบแทนวิทยากรจะอยู่ในรูปของ profit Sharing คือ ทุกครั้งที่มีผู้ซื้อหลักสูตร วิทยากรจะได้รับผลตอบแทนเป็นเปอร์เซ็นต์จากค่าหลักสูตรที่องค์กรได้รับ
แต่ปรากฏว่าหลังจากที่ผททำสไลด์ส่วนแรกเสร็จ และส่งให้องค์กรผ่านอาจารย์ ผมไม่ได้รับการติดต่อจากอาจารย์และองค์กรเลย จนต้นปีนี้ ผมก็ติดต่อตามเรื่องจากอาจารย์ที่ติดต่อ line สอบถามข้อมูลก็ไม่ได้รับคำตอบ โทรหาก็ไม่รับสาย จนสุดท้ายต้อง line ด้วยคำพูดแรงๆ ถึงได้รับคำตอบว่า “โครงการดังกล่าวทางองค์กรได้ยกเลิกแล้ว และผู้บริหารองค์กรขอโทรศัพท์เพื่อขอโทษในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น”
ซึ่งผมก็ยินดีที่จะคุยด้วย โดยขอคุยใน 2 ประเด็น ประเด็นคือ “ทำไมไม่ชี้แจงให้ชัดเจน และค่าตอบแทน slide ที่ส่งมอบไปแล้วจะชดใช้ให้เท่าไหร่?” กลับไม่ได้รับการติดต่อจากผู้บริหารองค์กรอีกเลย
ในเรื่องนี้ หลายคนคงถาม “ทำไมไม่มีการทำสัญญาก่อนรับงาน?”
คำตอบคือ “ความไว้วางใจในตัวอาจารย์ซึ่งเป็นผู้ติดต่อ และองค์กรซึ่งเป็นสถาบันที่น่าเชื่อถือ ไม่มีความคิดเลยว่า อาจารย์และองค์กรที่สอนเรื่องวิชาชีพและจรรยาบรรณเอง กลับไร้จรรยาบรรณ”
บทเรียนที่ได้รับจากกรณีนี้ คือ ข้อ 9 ของหลัก กาลามสูตร ที่ว่า “มา ภพฺพรูปตา – อย่าเพิ่งเชื่อเพราะดูน่าเชื่อถือ”
หมายเหตุ
กาลามสูตร (เรียกอีกอย่างว่า เกสปุตตสูตร) คือ พระสูตรที่พระโคตมพุทธเจ้าทรงแสดงแก่ชาวกาลามะ หมู่บ้านเกสปุตตนิคม แคว้นโกศล กาลามสูตรเป็นหลักแห่งความเชื่อที่พระพุทธองค์ทรงวางไว้ให้แก่พุทธศาสนิกชน ไม่ให้เชื่อสิ่งใด ๆ อย่างงมงายโดยไม่ใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นจริงถึงคุณโทษหรือดีไม่ดีก่อนเชื่อ มีอยู่ 10 ประการ ได้แก่
1. มา อนุสฺสวเนน – อย่าเพิ่งเชื่อเพราะฟังตามกันมา
2. มา ปรมฺปราย – อย่าเพิ่งเชื่อเพราะถือสืบกันมา
3. มา อิติกิราย – อย่าเพิ่งเชื่อเพราะข่าวเล่าลือ
4. มา ปิฏกสมฺปทาเนน – อย่าเพิ่งเชื่อเพราะมีในตำรา
5. มา ตกฺกเหตุ – อย่าเพิ่งเชื่อเพราะตรรกะ
6. มา นยเหตุ – อย่าเพิ่งเชื่อเพราะอนุมาน
7. มา อาการปริวิตกฺเกน – อย่าเพิ่งเชื่อเพราะตรึกตามลักษณะอาการที่ปรากฏ
8. มา ทิฎฐินิชฺฌานกฺขนฺติยา – อย่าเพิ่งเชื่อเพราะตรงกับความคิดของตน
9. มา ภพฺพรูปตา – อย่าเพิ่งเชื่อเพราะดูน่าเชื่อถือ
10. มา สมโณ โน ครูติ – อย่าเพิ่งเชื่อเพราะเป็นครูของตน
เมื่อใดสอบสวนจนรู้ได้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านั้นเป็นอกุศลหรือมีโทษเมื่อนั้นพึงละเสีย และเมื่อใดสอบสวนจนรู้ได้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านั้นเป็นกุศลหรือไม่มีโทษ เมื่อนั้นพึงถือปฏิบัติ
สรุป ก็คือในยุคนี้ จะทำอะไรนึกถึงประโยคนี้เอาไว้ “ถ้าอยากรอด จงระแวง” ‘Only the Paranoid Survive’ ที่เขียนโดย ‘Andy Grove’ อดีต CEO ของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง ‘Intel’ ที่พลิกโฉม Intel จากเดิมผลิต semiconductor มาผลิต microprocessor