“โพลีเน็ต” หุ้นนวัตกรรม 3 อุตฯ มาร์จิ้นสูง กำไรโต

HoonSmart.com>>”โพลีเน็ต” (POLY) นับเป็นหุ้นที่มีพื้นฐานแข็งแกร่งบริษัทหนึ่ง ผู้บริหารมีวิสัยทัศน์ในการวางโมเดลธุรกิจ กระจายแหล่งที่มาของรายได้ถึง 3 อุตสาหกรรมที่นำเมกะเทรนด์ และยังสร้างเกราะป้องกันตัวอีกชั้น ผ่านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงแบบครบวงจร ให้มาร์จิ้นที่ดี คู่แข่งรายใหม่เข้ามายาก หนุนกำไรสุทธิเติบโตอย่างต่อเนื่องทุกสถานการณ์ สะท้อนถึงราคาหุ้นที่สามารถยืนสูงกว่าราคา IPO มาตลอด นับตั้งแต่หุ้นเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เมื่อปี 2565 จนถึงปัจจุบัน

บมจ.โพลีเน็ต มีพัฒนาการอย่างต่อเนื่อง เริ่มตั้งแต่เปิดดำเนินการเมื่อกลางปี 2542 เพื่อผลิตและจำหน่ายแม่พิมพ์ที่ใช้ในอุตสาหกรรมยาง ค่อย ๆ ต่อยอดเข้าสู่ธุรกิจขึ้นรูปชิ้นงานที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว ผันตัวมาเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายชิ้นส่วนยานยนต์ขึ้นรูป ประเภทยางและพลาสติกด้วยแม่พิมพ์ที่บริษัทฯ ผลิตเอง

ตลอดระยะเวลา 20 ปีผ่านมา บริษัทฯ มองเห็นโอกาสและความเสี่ยงจากความผันผวนของอุตสาหกรรมยานยนต์ ดังนั้น ในปี 2562 จึงสร้าง New S-Curve ขยายสายการผลิตชิ้นส่วนยาง พลาสติก และซิลิโคนขึ้นรูปสำหรับอุปกรณ์ทางการแพทย์ และชิ้นส่วนยาง พลาสติก และซิลิโคนขึ้นรูปสำหรับสินค้าอุปโภคบริโภค เพื่อตอบรับกระแสรักสุขภาพและรักษ์โลก มุ่งดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และความรับผิดชอบด้านสิ่งแวดล้อม กำหนดกลยุทธ์ในการบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก โดยการใช้พลังงานทดแทน

กลุ่มลูกค้าเป้าหมายชัดเจน

บริษัทฯ มีศูนย์วิจัยและพัฒนาให้กับคู่ค้าด้านต่าง ๆ สามารถผลิตแบบครบวงจร (One-Stop Services) เริ่มตั้งแต่การออกแบบผลิตแม่พิมพ์ คิดค้นพัฒนาสูตรการผลิต ตลอดจนการขึ้นรูปชิ้นงาน กลุ่มลูกค้าหลัก ประกอบด้วย 3 อุตสาหกรรม ได้แก่ ยานยนต์ (Automotive) เครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ (Medical) และสินค้าอุปโภคบริโภค (Consumer Products) บริษัทโพลีเน็ตเป็นผู้รับจ้างผลิต (OEM) ให้กับผู้ผลิตลำดับที่ 1 (First Tier) และผู้บริโภค โดยมากกว่า 90% เป็นลูกค้าภายในประเทศไทย ซึ่งแต่ละกลุ่มมีการนำสินค้าไปใช้แตกต่างกัน

บริษัทฯ ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ แบ่งเป็นชิ้นส่วนภายในและชิ้นส่วนภายนอกที่มีวงจรอายุผลิตภัณฑ์ที่แตกต่างกันตามการเปลี่ยนโฉมของรถยนต์ โดยชิ้นส่วนภายนอกจะมีการเปลี่ยนรูปแบบทุก ๆ 4-5 ปี ขณะที่ชิ้นส่วนภายในเครื่องยนต์จะมีการเปลี่ยนรูปแบบทุก ๆ 10 ปี ตามการเปลี่ยนโมเดลรถยนต์ ช่วงที่รถยนต์มียอดขายสูงสุดจะอยู่ระหว่างปีที่ 2-5 ของการออกรุ่นใหม่ หลังจากนั้นจะทยอยลดลงจนกว่ารุ่นถัดไปจะเปิดตัว 10 ปีให้หลังจะกลายเป็นรถยนต์ตกรุ่น ซึ่งชิ้นส่วนรถยนต์เหล่านี้จะถูกผลิตเพื่อใช้สำหรับการเปลี่ยนถ่ายเป็นอะไหล่ทดแทนอีก 10 ปี

ส่วนชิ้นส่วนเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ มีวงจรอายุผลิตภัณฑ์โดยทั่วไปประมาณ 15-20 ปี ตามการพัฒนาสินค้าใหม่ ซึ่งแต่ละชนิดใช้เวลาผลิตและพัฒนานานเมื่อมีเทคโนโลยีใหม่มาทดแทน บริษัทผลิตประเภทซิลิโคน และพลาสติก ได้แก่ ปลอกซิลิโคน วาล์วซิลิโคน ท่อซิลิโคน สายช่วยหายใจ ที่สอดจมูกช่วยหายใจ ตัวนำอสุจิ หน้ากากออกซิเจน ถ้วยอนามัย รวมถึงชิ้นส่วนอุปกรณ์ทางการแพทย์สำหรับช่วยในการผ่าตัดต่าง ๆ เป็นต้น

สำหรับชิ้นส่วนสินค้าอุปโภคบริโภคโดยทั่วไปมีวงจรอายุประมาณ 10 ปี ผลิตภัณฑ์ที่บริษัทฯ ผลิต ได้แก่ ยางบนผิวลูกบาสเก็ตบอล ซีลยางบรรจุภัณฑ์ ซีลยางหลอดไฟ ถุงซิลิโคนใส่อาหาร จุกระบายไอน้ำหม้อหุงข้าว ฝากรองชา ฝากระติก และฝาปิดกล่องอาหาร เป็นต้น

“POLY จะมีลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ทั้งที่ซื้ออะไหล่และรายใหม่ เช่น โรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในไทย จะมีรายได้จากค่าแม่พิมพ์และผลิตชิ้นงาน ส่วนกลุ่มสินค้าอุปโภคฯ ปัจจุบันที่เป็น Global Brand เน้นร่วมกันพัฒนาสินค้าที่มีความหลากหลายและตอบสนองความต้องการของแต่ละประเทศ บริษัทฯ มีเป้าหมายเป็นฐานการผลิตที่สำคัญในอนาคต เพื่อรองรับการขายสินค้าในหลายทวีปทั่วโลก ส่วนกลุ่มเครื่องมือและอุปกรณ์การแพทย์เป็นตัวสร้าง New S-Curve ฐานลูกค้าส่วนใหญ่อยู่ในทวีปยุโรปและอเมริกา นอกจากนี้ ยังสนใจธุรกิจใหม่ในกลุ่มไฟฟ้า โดยได้รับ License สำหรับการผลิตสินค้าจากบริษัทคู่ค้าในต่างประเทศ”

ผลิตภัณฑ์ดาวเด่น “นำเมกะเทรนด์”

บริษัทฯ มีการพัฒนาฉนวนคอมโพลิต อินชูเรเตอร์ (ตัวใหญ่) จากเดิมใช้เซรามิค เปลี่ยนเป็นซิลิโคน ทนอุณหภูมิ ใช้ในพื้นที่ภาคใต้ได้ น้ำหนักเบา ขนส่งง่าย อายุใช้งานนาน พร้อมรุกเข้าสู่ธุรกิจไฟฟ้า เพราะเหมาะกับรถไฟความเร็วสูง

นอกจากนี้ ได้พัฒนาแม่พิมพ์ซึ่งเป็นชิ้นส่วนงานหลักของอุปกรณ์เก็บเลือดสำหรับผ่าตัดทรวงอก (Chest Drains for Surgery) ซึ่งจะช่วยให้ผู้ป่วยที่ผ่าตัดทรวงอกในโรงพยาบาลสามารถกลับไปพักฟื้นที่บ้านได้เร็วขึ้น ทำให้ค่าใช้จ่ายลดลง โดยในปี 2568 ตั้งเป้าผลิต 1,000 เซตต่อเดือน หรือสร้างรายได้ 2 ล้านบาทต่อเดือน ก่อนจะเพิ่มเป้าเป็น 2,500-3,000 เซตต่อเดือน หรือ 5-6 ล้านบาทในปี 2569 และ 10,000 เซตต่อเดือนในปี 2570 สร้างรายได้ 20 ล้านบาทต่อเดือน เพื่อรองรับความต้องการของตลาด Homecare ในประเทศสหรัฐอเมริกาที่มีมูลค่าประมาณ 100,950 ล้านบาท อัตราการเติบโตเฉลี่ยประมาณ 7.2% ต่อปี

“ในกลุ่มชิ้นส่วนและเครื่องมือทางการแพทย์เป็นสินค้าที่มีอัตรากำไรขั้นต้นค่อนข้างสูง คาดว่าในการผลิตแม่พิมพ์ ชิ้นงาน และประกอบชิ้นของอุปกรณ์ผ่าตัดทรวงอก จะมีอัตรากำไรขั้นต้นสูงกว่า 50% สนับสนุนการเติบโตของผลการดำเนินงานตั้งแต่ปี 2568-2571”

ล่าสุด บริษัทฯ ร่วมกับโรงพยาบาลศิริราช พัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ใหม่ ลูกบอลดูดน้ำมูกและน้ำคร่ำ เพื่อใช้ดูดน้ำมูกและของเหลวออกจากจมูกทารกแรกเกิดในห้องคลอดจนถึงอายุ 1 ขวบ ผลิตจากซิลิโคนคุณภาพเกรดที่ใช้สำหรับห้องปลอดเชื้อ สามารถทำความสะอาด ฆ่าเชื้อ และนำมาใช้ซ้ำใหม่ได้ ในปี 2568 จะร่วมกันผลิตและจำหน่าย ระยะแรกจะจำหน่ายให้กับโรงพยาบาลก่อน ประมาณ 5,000 -10,000 ชิ้นต่อเดือน คาดว่าจะสร้างรายได้ 350,000 – 700,000 บาทต่อเดือน จากนั้นจะทยอยขยายตลาดไปยังร้านค้าปลีกต่อไป

นอกจากนี้ ยังร่วมลงนามในสัญญาบันทึกข้อตกลง (mou) กับศูนย์นวัตกรรมทางการแพทย์และการประกอบการ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ค้นคว้า วิจัย และพัฒนาผลิตภัณฑ์ โดยเริ่มต้นความสำเร็จในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ PEG ใช้สำหรับการให้อาหารผ่านสาย ซึ่งในปัจจุบันต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ยังไม่มีผู้ผลิตในไทย จึงนับเป็นการนำนวัตกรรมทางแพทย์ (Medical Innovation) มาใช้สนับสนุนการรักษาให้คนไทยได้ใช้รักษาในราคาที่เหมาะสม แต่ยังคงมาตรฐานสากล เทียบเท่าต่างประเทศ

กำไรโต D/E ต่ำ

โมเดลธุรกิจที่กระจายความเสี่ยงและสร้างรายได้จาก 3 อุตสาหกรรม ส่งผลให้ผลการดำเนินงานเติบโตอย่างมีคุณภาพ แม้ว่าเศรษฐกิจจะโตต่ำ หรืออุตสาหกรรมยานยนต์จะหดตัวแรงก็ตาม

ในปี 2564 POLY มีกำไรสุทธิ 120.93 ล้านบาท ก่อนจะเพิ่มเป็น 175 ล้านบาทในปี 2566 และ 150 ล้านบาทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2567 โดยมีอัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจาก 15.36% เป็น 17.94% และ 20.53% ตามลำดับ ขณะที่อัตราผลตอบแทนจากส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) ยังคงอยู่ที่ 20%

ทางด้านการเงินก็แข็งแกร่ง สัดส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ต่ำกว่า 1 เท่า และลดลงอย่างต่อเนื่องจาก 0.93 เท่าในปี 2564 เหลือ 0.17 เท่าในสิ้นเดือน ก.ย. 2567

“9 เดือนปี 2567 มีกำไรสุทธิ 150 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 87.7% คาดว่าทั้งปีน่าจะทำได้มากกว่า 175 ล้านบาทในปี 2566 เมื่อพิจารณาจากอัตรากำไรสุทธิ 20.5% กำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น 31.5% เป็น 215.8 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นจาก 22.8% เป็น 29.6% โดยมีรายได้รวม 732.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.9 ล้านบาทหรือคิดเป็น 1.4% แม้ว่ายอดการผลิตรถยนต์ลดลงจากปีก่อน 19% เหลือ 1,127,127 คันก็ตาม”

กำไรที่ดีขึ้นสวนกระแสเศรษฐกิจและการหดตัวของยอดการผลิตรถยนต์ในประเทศไทย เพราะสินค้ากลุ่มอุปกรณ์ทางการแพทย์มีการเติบโตอย่างชัดเจน มียอดขายเพิ่มขึ้น 42.6 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้น 42.9% ในขณะที่กลุ่มสินค้าอุปโภค ลดลงประมาณ 27.4 ล้านบาท และกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ลดลง 7.6 ล้านบาท หรือคิดเป็น 1.7% อย่างไรก็ตาม สินค้ากลุ่มยานยนต์ที่มีสัดส่วนของสินค้าที่ต้องใช้เทคโนโลยีในการผลิตขั้นสูงมีสัดส่วนที่มากขึ้น ซึ่งมีการแข่งขันในตลาดที่ต่ำกว่าชิ้นงานทั่วไป จึงมีอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงกว่า รวมถึงยอดขายกลุ่มเครื่องมือและกลุ่มอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่มีอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงที่สุด ก็มีการเติบโต จนทำให้สัดส่วนของรายได้เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน จาก 13.7% เป็น 19.4% ส่วนกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ประมาณ 61.5% ลดลงเล็กน้อยแต่ยังใกล้เคียงกับปีก่อน

ผลกำไรของ POLY ที่มีการเติบโตอย่างชัดเจน ส่งผลให้ราคาหุ้นของ “โพลีเน็ต” ปรับตัวขึ้นสูงกว่าราคาที่เสนอขายต่อประชาชนครั้งแรก (IPO) ที่ระดับ 6.80 บาท และผู้ถือหุ้นยังได้รับผลตอบแทนเงินปันผลอีกเฉลี่ย 4% ต่อปี จากนโยบายการจ่ายปันผล
ไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิ ทำให้หุ้นเป็นที่ต้องการของนักลงทุนแม้ว่าภาวะตลาดหุ้นจะเป็นอย่างไร

ความสำเร็จในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีนวัตกรรมและตอบสนองความต้องการของลูกค้าทุกระดับส่งผลให้กำไรเติบโตอย่างต่อเนื่อง นับว่า POLY เดินมาถูกทาง และคาดว่าจะเห็นการต่อยอดธุรกิจใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น เพื่อสร้างฐานรายได้ที่ใหญ่ยิ่งขึ้น