มองบวก TTB ซื้อหุ้นคืน ‘ROE-ปันผล’สูง แห่เพิ่มเป้ากำไร-ราคาทะลุ 2 บาท

HoonSmart.com>>นักวิเคราะห์ประสานเสียง”ทหารไทยธนชาต”(TTB) ดูดียิ่งขึ้น เซอร์ไพรส์ทุ่มงบ 2.1 หมื่นล้านบาทซื้อหุ้นคืน 3 ปี เพิ่ม ROE ทะลุ 10% กำไรต่อหุ้นโตหนุนปันผลสูง 6-7% บล.กสิกรไทยอัพกำไรปีนี้-ปีหน้า 9.6%,6.6% ชี้เป้า 1.98 บาท บล.เคจีไอให้เป้าใหม่ 2.30 บาท บล.เอเซียพลัสเขย่งเป็น 2.14 บาท บล.ฟิลลิปยืนมูลค่า 2.18 บาท รอซื้อหุ้นคืนครบขยับเป็น 2.50 บาท ส่วนบล.กรุงศรีไม่ตื่นเต้นมองราคาซื้อหุ้นคืน 2 บาท สูงกว่าตลาด คงกำไรปีนี้ 21,300 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1%   

บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย ) วิเคราะห์หุ้นธนาคารทหารไทยธนชาต (TTB) หลังจากคณะกรรมการของธนาคารฯมีมติอนุมัติงบโครงการซื้อหุ้นคืน 21,000 ล้านบาท เป็นเวลา 3 ปี โดยในปีนี้จะซื้อวงเงินไม่เกิน 7,000 ล้านบาท จำนวนไม่เกิน 3,500 ล้านหุ้น จะทำให้กำไรต่อหุ้น (EPS) และอัตราผลตอบแทนส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) เพิ่มสูงขึ้น แต่ก็จะทำให้เงินกองทุนลดลงด้วย

อย่างไรก็ตาม TTB มีเงินกองทุนสูงเมื่อรวมกับกำไรของปี 2568 แล้วยังน่าจะสูงกว่า19% ซึ่งจะไม่กระทบกับการปล่อยสินเชื่อ หากการซื้อหุ้นคืนได้ครบจำนวนจะทำให้ราคาพื้นฐานปรับเพิ่มขึ้นเป็น 2.50 บาท แต่ยังคงราคาเป้าหมายในปีนี้ที่ 2.18 บาท ไว้ก่อน และยังคงแนะนำซื้อ

” เราคาดว่าปีนี้จะมีกำไร 2.4 หมื่นล้านบาท หากซื้อหุ้นคืนได้ครบจำนวนจะทำให้กาไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น 0.28บาท/หุ้นจากเดิมที่0.27บาท และราคาพื้นฐานปรับเพิ่มเป็น 2.50 บาท อย่างไรก็ตามเพื่อความ Conservative  จะยังคงประมาณการกำไรและยังคงราคาพื้นฐาน 2.18บาทไว้ก่อน ซึ่งเมื่อเทียบกับราคาหุ้นในปัจจุบันก็ยังเหลือส่วนต่างอยู่พอสมควร”

บล.กสิกรไทย ปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 2568 อีก 9.6% เป็น 2.26 หมื่นล้านบาท และปี 2569 ปรับเพิ่ม 6.6% เป็น 2.46 หมื่นล้านบาท จากแนวโน้มอัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้ที่ลดลง คาดว่าปี 2568 กำไรจะเติบโต 7.6% หลังจากปี 2567 เป็นไปตามที่เราและตลาดคาดไว้ที่ 2.10 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.9%

” เนื่องจากการปรับเพิ่มประมาณการกําไรปี 2568-2569 จึงปรับราคาเป้าหมายเป็นสิ้นปี 2568 จากกลางปี 2568 แนะนำซื้อราคาเป้าหมาย 1.98 บาท โดยผู้บริหารมองว่าอัตราการจ่ายเงินปันผลที่ 60-70% ของกำไรเป็นระดับที่เหมาะสม”บล.กสิกรไทยระบุ

บล.เอเซียพลัสเพิ่มราคาเป้าหมายใหม่ที่ 2.14 บาท จากเดิม 2.02 บาท สะท้อนแนวโน้ม ROE ระยะยาว ที่มีโอกาสดีขึ้นตามโครงการซื้อหุ้นคืน และความผันผวนของราคาหุ้นลดลงระหว่างดําเนินโครงการฯจึงปรับP/BV ที่ใช้ในการประเมินมูลค่าอยู่ที่ 0.85 เท่า (เดิม 0.8 เท่า)เพิ่มคําแนะนําจาก NEUTRAL เป็น OUTPERFORM นอกจากการซื้อหุ้นคืน ทางพื้นฐานมี TAX SHIELD ช่วยรักษาระดับกําไร ขณะที่ผลตอบแทนปันผลอยู่ในระดับ 7% ต่อปี ถือว่าน่าสนใจ

บล.เคจีไอ(ประเทศไทย) มองบวกต่อการซื้อหุ้นคืน บ่งบอกถึงความมุ่งมั่นของธนาคารที่จะบริหารจัดการในการเพิ่ม ROE  โดยที่เงินกองทุนขั้นที่ 1ยังแข็งแกร่งอยู่ในระดับ 17% หากใช้สมมติฐานว่าธนาคารใช้งบซื้อหุ้นคืนเต็มวงเงินจะทำให้ฐานเงินทุนลดลง และ ROE เพิ่มขึ้น 0.03-0.04% เป็น 10.2% ในปี 2568 ซึ่ง ROE ที่เพิ่มขึ้นจะทำให้ P/BV เพิ่มขึ้นจาก 0.85 เท่า เป็น 0.9 เท่า  เพื่อสะท้อนถึง ROE ที่สูงเกิน 10%

ขณะเดียวกันสินเชื่อไฮเพอร์เชสแสดงสัญญาณที่ดีขึ้น ผลขาดทุนที่เริ่มนิ่ง และ อุปทานรถมือสองเริ่มเข้ามาในตลาดลดลง นอกจากนี้ โครงการของรัฐบาลเพื่อช่วยปรับโครงสร้างสินเชื่อที่มีปัญหาจะช่วยเลื่อนอุปทานรถมือสองที่จะเข้ามาเพิ่มในตลาดไปได้ระยะหนึ่ง ซึ่งจะ
ช่วยคลายแรงกดดันต่อสินเชื่อไฮเพอร์เชส ซึ่งคิดเป็น 45% ของสินเชื่อรวม TTB ทั้งนี้ ธนาคารคาดว่า credit cost
จะลดลงเหลือ 125-135bps ในปี 2568 (จาก 155bps ในปี 2567)

“เราปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 2568 ขึ้นอีก 3%และปรับเพิ่มราคาเป้าหมาย เป็น 2.30 บาท จากเดิม 2.16 บาท และปรับเพิ่มคำแนะนำเป็นซื้อ เพื่อสะท้อนถึง NIM ที่เพิ่มขึ้น 0.02%เป็น 3.24% และการปรับลดอัตราการขยายตัวของสินเชื่อลงเหลือ 0.2% จาก 2.5% และ ROEที่สูงเกิน 10 % ”

บล.กรุงศรีมีมุมมองบวกเล็กน้อยต่อข่าวโครงการซื้อหุ้นคืน เพราะราคาที่ซื้อคืนที่ 2 บาท สูงกว่าราคาตลาดที่ 1.91 บาทและไม่กระทบ
ต่อปัจจัยพื้นฐานอย่างมีนัยสำคัญ จึงคงประมาณการกำไรสุทธิปีนี้คาดที่ 21,300 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1% จากปีก่อน โดยชอบ TTB เพราะมีผลประโยชน์ทางภาษีเหลือจำนวน 10,600 ล้านบาท ณสิ้นปีก่อน 1 สามารถใช้ได้ถึงปี 2571 และการตั้งสำรองน้อยลง คาดช่วยหนุนกำไรสุทธิปี 2568-2569  รวมถึงอัตราผลตอบแทนเงินปันผลสูงคาด 6-7% ต่อปี โดยครึ่งหลังปี 2567 คาดที่ 0.064 บาท/หุ้น อัตราผลตอบแทน 3.3%

วันที่ 29 ม.ค. 2568 หุ้น TTB ปรับตัวขึ้นแรงตามคาด หลังจากบอร์ดเซอร์ไพรส์ไฟเขียวงบสูงถึง 21,000 ล้านบาทสำหรับการซื้อหุ้นคืนภายใน 3 ปี  โดยราคาเปิดกระโดดที่ 2 บาท ขึ้นไปสูงสุด 2.02 บาท ก่อนอ่อนตัวต่ำสุดที่ 1.94 บาทและกลับมาปิดที่  1.97 บาท เพิ่มขึ้น 0.06 บาทหรือ +3.14% ด้วยมูลค่าสูงสุดของวันที่ 2,010.69 ล้านบาท

นอกจากนี้ยังส่งผลเชิงจิตวิทยาต่อหุ้นธนาคารหลายตัว ที่คาดว่าอาจจะเปิดโครงการซื้อหุ้นคืนเช่นเดียวกับ TTB เนื่องจากราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าหุ้นทางบัญชี มีสภาพคล่องสูงและมีเป้าหมายเพิ่ม ROE ให้เติบโตเป็นเลขสองหลัก  ดึงดูดให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนมากขึ้น