GFC รายได้นิวออลไทม์ไฮ …โบรกฯ เชียร์เคาะเป้าไกล 16 บาท

HoonSmart.com >> GFC คึกคักส่งท้ายปี หนุน Q4/66 ท็อปฟอร์ม ประกาศศักดา ต.ค. สร้างนิวออลไทม์ไฮใหม่ แซงโค้ง ก.ย. โกยรายได้โต 15%   ผู้มีบุตรยากในประเทศล้น โบรกเคาะราคาเป้าหมายไกล 16 บาท

นายกรพัส อัจฉริยมานีกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจเนซีส เฟอร์ทิลีตี เซ็นเตอร์  (GFC)  เปิดเผยว่า เดือนต.ค.ที่ผ่านมา อัตราผู้เข้ารับการรักษาภาวะผู้มีบุตรยากในประเทศไทย เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้บริษัทฯ มีรายได้จากอัตราการรักษาเพิ่มขึ้น 15 % เมื่อเทียบกับช่วงเดือนกันยายน 2566 ที่กวาดรายได้ 32 ล้านบาท  ส่งผลให้ไตรมาสสุดท้าย 4/2566 ท็อปฟอร์ม สร้างนิว ออลไทม์ไฮต่อเนื่อง

นายกรพัส  กล่าวถึงนโยบายของรัฐ ‘ส่งเสริมมีบุตร’ แก้ปัญหา ‘เด็กเกิดน้อย’  เป็นแนวโน้มที่ดี และเป็นผลเชิงบวกต่อกลุ่มให้บริการรักษาผู้มีบุตรยาก ขณะเดียวกัน GFC พร้อมขับเคลื่อนและขอเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันนโยบายส่งเสริมการมีบุตรเพื่อแก้ปัญหาเด็กเกิดน้อยในปัจจุบัน

“เชื่อมั่นว่าปี 2567 จำนวนผู้เข้ารับการรักษาในประเทศ จะพุ่งสูงขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งจะยิ่งตอกย้ำอัตราการเติบโตของ GFC ได้อย่างโดดเด่น ประกอบกับการเตรียมเปิดให้บริการอีก 2 แห่ง ทั้ง สาขาสุวรรณภูมิ-พระราม 9 และ คลินิกสาขาอุบลราชธานี จะยังคงมุ่งเน้นการให้บริการผู้เข้ารับการรักษาผู้มีบุตรยากในประเทศเป็นหลัก ควบคู่กับการขยายฐานกลุ่มลูกค้าต่างชาติ ภายใต้การมุ่งมั่นขับเคลื่อนธุรกิจของ GFC ที่จะเติบโตอย่างไม่หยุดยั้ง สู่การสร้าง New S-Curve ในอนาคต” ผู้บริหารกล่าว

ด้านบริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์   ประเมินราคาเป้าหมายเพิ่มขึ้นเป็น 16 บาท จากราคาเดิม 11.3 บาท  แนะนำ “ซื้อ” บน P/E ที่ 28 เท่าในปี 2567 เป็น 16 บาท อิงจาก P/E ที่ 34 เท่า 2567  สะท้อนถึงการเติบโตของรายได้ที่แข็งแกร่งในระยะยาวของ GFC จากการขยายกำลังการผลิต และอัตรากำไรขั้นต้นและกำไรสุทธิที่สูงขึ้นเป็น 44-49% และ 20-22% ตามลำดับ  โดยรายได้รวมในปี 2566 เพิ่มขึ้นเป็น 30%

บริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด ประมาณการกำไรสุทธิของ GFC ในปี 2566-2568 เท่า 70.2 ล้านบาท 104.6 ล้านบาท และ115.5 ล้านบาท โดยคิดเป็นอัตราการเติบโต เท่ากับ 6.8%, 49.1% และ 10.4% ตามลำดับ หรือ 28.3% CAGR และได้ประมาณการรายได้เท่ากับ 340.0 ล้านบาท 480.0 ล้านบาท และ 520.0 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นอัตราการเติบโตเท่ากับ 23.2%, 41.2% และ 8.3% ตามลำดับ หรือ 23.7% CAGR ตามแนวโน้มการเข้ารับการรักษาเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้มีบุตรยาก ตามแผนการขยายสาขาและการให้บริการแก่ลูกค้ำต่างชาติ

ประเมินมูลค่าที่เหมาะสมสิ้นปี 2567 เท่ากับ 14.30 บาทอิง PE เท่ากับ 30 เท่าใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ย PE ระยะยาวของหุ้นกลุ่มโรงพยาบาล ซึ่งมองว่าเหมาะสม เนื่องจากแนวโน้มของผลประกอบการยังคงเติบโตต่อเนื่อง เป็นหนึ่งในผู้นำด้านการให้บริการทางการแพทย์สำหรับผู้มีปัญหาด้านการมีบุตรยาก และธุรกิจอยู่ในกระแส หลังหลายประเทศทั่วโลกกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ

บริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส   ปรับเพิ่มประมาณการปี 2023 – 2025 เคาะราคาเป้าหมายใหม่ที่ 12 บาท อิง PE เดิม 25 เท่า แนะนำ “ซื้อ” พร้อมประเมินแนวโน้มกำไรไตรมาส 4/2566 มีความแข็งแกร่งต่อเนื่อง เนื่องจากเป็นช่วง high season ของธุรกิจ และอาจมี pend up demand ที่ต้องทำการรักษาในปีนี้ เพื่อให้ลูกเกิดในปีมังกร ดังนั้นจึงปรับประมาณการกำไรปี 2566 ขึ้น 19% เป็น 70 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% สำหรับปี 2567 คาดกำไรสุทธิที่ 105 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 50% จากผลการเปิดสาขาใหม่ สุวรรณภูมิ-พระราม 9 และอุบลราชธานี ตั้งแต่ปลายไตรมาส 1/2567 รวมถึงการนำเอา เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธ์ขยายห้อง LAB ที่เป็นมาตรฐานสากลจะทำให้มีลูกค้าต่างชาติเข้าขอรับบริการเป็นปีแรก

บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก  ประมาณการผลการดำเนินงานปี 2566 “GFC” โดยปรับสมมติฐานเปอร์เซ็นต์ GPM ทั้งปี 2566 เพิ่มขึ้นจาก 43.8% สู่ 48.4% และปรับประมาณการรายได้ปี 2566 เพิ่มขึ้น 11% สู่ 346 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25% และปรับกำไรเพิ่มขึ้น 54% สู่ 76 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% พร้อมประเมินไตรมาส 4/2566 มีกำไรอยู่ที่ 20.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18% จากแนวโน้มจำนวนเคสที่เร่งขึ้นต่อเนื่อง ประกอบกับดีมานด์ของการมีลูกให้ทันในช่วงปีมังกรทอง (ปี 2567) ซึ่งจะต้องตั้งครรภ์ช้าสุดในช่วงไตรมาส 4/2566-ไตรมาส 1/2567

คาดการณ์กำไรปี 2567 เพิ่มขึ้น 16% สู่ 96 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26% จากการเปิดสาขาใหม่พระราม 9 และอุบลราชธานี ช่วงปลายไตรมาส 1/2567 – ต้นไตรมาส 2/2567 ทั้ง 2 แห่ง จึงได้ประมาณการรายได้ปี 2567 อยู่ที่ 480 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39% ประกอบกับปัจจุบันอยู่ในระหว่างการเจรจากับ Agency เพื่อส่งคนไข้ชาวจีนมารับบริการในช่วงไตรมาส 1/2567 พร้อมประเมินราคาเหมาะสม GFC ด้วยวิธี Prospective PE Ratio เทียบกับบริษัทที่อยู่ในหมวดของธุรกิจทางการแพทย์ทั้งกลุ่มโรงพยาบาลขนาดเล็กและคลินิกเฉพาะทาง โดยประเมินราคาเหมาะสมปี 2567 ที่ระดับ 11.70 บาทต่อหุ้น