หุ้นไทยพุ่งฉิวเกาะตลาด TIPs อินโดฯ เซอร์ไพรส์ลดดอกเบี้ย

HoonSmart.com>>หุ้นไทยได้เฮ! วันแรกในรอบครึ่งเดือนม.ค. 68 ดัชนี SET ทะยานขึ้น 0.96% ไปในทิศทางเดียวกับหุ้นฟิลิปปินส์ +0.49% อินโดนีเซียพุ่งแรงสุด+1.65% หลังจากธนาคารกลางอินโดนีเซียฯเซอร์ไพรส์ลดดอกเบี้ย ไม่สน DELTA ร่วง-2.44%  ต่างชาติยังขายต่อเนื่อง 961.65 ล้านบาท นักลงทุนไทยทำกำไรทิ้ง 2,105 ล้านบาท บล. CGSI ปรับเป้าดัชนีตั้งแต่ต้นปี เหลือ 1,530 จุด หายจากเป้าเดิม100 จุดหรือ -6.13% บล. KTX  มองเป้า 1,640 เน้นกลุ่มคุณค่า และ 8 หุ้นเด่น

ตลาดหุ้นในปี “งูเล็ก” ดุมาก ครึ่งเดือนม.ค. ดัชนีปักหัวลง -3.6% เทียบกับสิ้นปีที่ผ่านมาปิดที่ระดับ 1,400 จุด ล่าสุดวันนี้ (15 ม.ค.68) ดัชนีดีดขึ้นแรง 12.92 จุด หรือ +0.96% ปิดที่ระดับ 1,353.17 จุด มูลค่าซื้อขาย 44,216.57 ล้านบาท

อย่างไรก็ตามนักลงทุนต่างประเทศยังคงขายสุทธิ 961.65 ล้านบาท นักลงทุนไทยขายทำกำไรมากถึง 2,105.30 ล้านบาท ส่วนสถาบันซื้อสุทธิ 1,921.82 ล้านบาท และบัญชีหลักทรัพย์ซื้อสุทธิ 1,145.13 ล้านบาท

ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นแรงตามตลาดกลุ่ม TIP  หุ้นฟิลิปปินส์ปิดบวก 30.79 จุดหรือ +0.49% และอินโดนีเซียเพิ่มขึ้น 115.09  จุด +1.65% หลังจากธนาคารอินโดนีเซียปรับลดดอกเบี้ย RRR ระยะสั้น 7 วัน ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยอ้างอิง ลง 0.25% สู่ระดับ 5.75% เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ฉุดเงินรูเปียห์ร่วง

ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียส่วนใหญ่ปรับตัวลง เช่น มาเลเซีย ลดลง 0.91% สิงคโปร์ -0.43% เกาหลีใต้ -0.02% เวียดนาม -0.85%

ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้น ตามแรงซื้อหุ้นใหญ่ในกลุ่มธนาคารพาณิชย์  สื่อสาร และค้าปลีก ขานรับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจและช่วยแก้ปัญหาหนี้ SME ข๊ะที่มีแรงขายหุ้นใหญ่นำตลาด อย่าง DELTA ปิดที่ 140 บาท ร่วงลง 3.50 บาทหรือ-2.44% รวมถึงแรงขายหุ้นที่โบรกเกอร์ต่างประเทศปรับลดน้ำหนักการลงทุน เช่น BGRIM  ลดราคาเป้าหมายลง 30.45 เหลือ 14.40 บาท

นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.กรุงไทย เอ็กซ์สปริง กล่าวว่า ตลาดหุ้นวันนี้เกิดเทคนิคเคิลรีบาวด์หลังปรับตัวลงไปแรง และได้ปัจจัยบวกจากตัวเลข PPI ลดลง  มองว่าเงินเฟ้อสหรัฐคืนนี้มีโอกาสที่จะปรับตัวลงเช่นกัน ขณะที่”ทรัมป์”จะขึ้นภาษีแบบค่อยเป็นค่อยไป ช่วยให้ตลาดผ่อนคลายลง ซึ่งนักลงทุนมีการย้ายกลุ่มเล่นจากกลุ่ม Tech ไปยังกลุ่ม Non-Tech เช่น การเงิน, สาธารณูปโภค รวมถึงกลุ่มที่มีรายได้แน่นอนไม่รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ

ทั้งนี้ ตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียวันนี้เคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบ โดยตลาดที่พัฒนาแล้วจะปรับตัวลง แต่ตลาดอาเซียนจะปรับตัวขึ้น เนื่องจากธนาคารกลางอินโดนีเซียได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ลงสู่ระดับ 5.75% สร้าง Surprise ให้กับตลาด ส่งผลให้ตลาดในกลุ่ม TIP มีความน่าสนใจทันที อย่างไรก็ดี ยังต้องติดตามการเข้ารับตำแหน่งของ”ทรัมป์”ในวันจันทร์หน้า(20 ม.ค.) ว่าจะมีนโยบายอะไรออกมาบ้าง ถ้าไม่รุนแรง ตลาดฯก็จะรีบาวด์ได้ พร้อมให้รอดู GDP ของจีน และการทยอยประกาศผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดสหรัฐ

แนวโน้มการลงทุนในวันพรุ่งนี้ (16 ม.ค.) ตลาดคงจะแกว่งตัวในกรอบ โดยมีแนวรับ 1,334 จุด แนวต้าน 1,352-1,355 จุด

ทางด้านฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) หรือ CGSI ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ปัจจัยลบที่รุมเร้าทั้งจากในและนอกประเทศ ประกอบด้วยนโยบายการค้าของรัฐบาลใหม่สหรัฐ, การขายคืนหน่วยลงทุนของกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF), ความเสี่ยงด้านการกำกับดูแล และเศรษฐกิจไทยที่ยังอ่อนตัว จึงปรับลดเป้าดัชนี SET สิ้นปี 2568 มาที่ 1,530 จุด จาก 1,630 จุด ซึ่งจะเท่ากับ P/E 15.3 เท่าในปี 69 หรือ -1.25SD ของค่าเฉลี่ย 10 ปี

ขณะที่มองว่าตัวเลือกที่ดีในสถานการณ์นี้ คือ หุ้นในกลุ่มปลอดภัยที่น่าจะได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐและมีความเสี่ยงด้านการกำกับดูแลน้อยกว่า ได้แก่ กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค, กลุ่มค้าปลีก, กลุ่มการแพทย์, กลุ่มธนาคาร และกลุ่มสินเชื่อเพื่อผู้บริโภค ขณะที่หุ้น Top pick ของประกอบด้วย AMATA, BCH, BH, CBG, CPN, CRC, MTC และ SCB

อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นจะมี downside risk หากรัฐบาลทรัมป์ ปรับขึ้นภาษีนำเข้า, รัฐบาลไทยขอให้ภาคเอกชนสนับสนุนมาตรการลดค่าไฟฟ้า และบริษัทจดทะเบียนมีผลประกอบการอ่อนตัวในไตรมาส 4/67

บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย เอ็กซ์สปริง หรือ KTX ประเมินดัชนีเป้าหมายดัชนี SET ในอีก 12 เดือนข้างหน้าไว้ที่ 1,640 จุด โดยปัจจัยสนับสนุนสำคัญคือ มีแนวโน้มที่กระแสเงินทุนจะไหลออกจากสหรัฐฯ เข้าสู่เอเชียมากขึ้น จากการที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ (US Bond Yield)มีโอกาสเร่งตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ เนื่องจากการบริหารนโยบายเศรษฐกิจของนายโดนัลด์ ทรัมป์ อาจเพิ่มความเสี่ยงด้านการขาดดุลการคลัง และมีความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะยุตินโยบายอัตราดอกเบี้ยขาลงเร็วขึ้น นอกจากนี้ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนและเอเชียอาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการดึงกระแสเงินทุนโลกสู่ภูมิภาค รวมทั้งปลุกตลาดหุ้นไทยฟื้นตัว

แนะนำให้นักลงทุนลดน้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่มเติบโตสูง (Growth) และเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่มคุณค่า (Value) ซึ่งรวมถึงหุ้นเด่นอย่าง KBANK, SCB, TTB, KKP, BLA, BDMS, CPN และ CPALL ที่มีศักยภาพการเติบโตระยะยาว