บล.กรุงศรีฯ ชี้พ.ร.ก.ภาษีขั้นต่ำกระทบน้อย โอกาสลงทุน 7 หุ้นอินฟราเทค

HoonSmart.com>>บล.กรุงศรีฯ คาด พ.ร.ก. ภาษีขั้นต่ำ 15% กระทบน้อยกว่าตลาดกังวล ชี้เป็นโอกาสลงทุนหุ้น Infra tech แนะ 7 หุ้นเด่น

บล.กรุงศรีฯ ระบุว่า จากกรณี ครม. เห็นชอบ ร่าง พ.ร.ก. ภาษีขั้นต่ำ 15% หรือ Global Minimum Tax 15% สำหรับ บริษัทข้ามชาติที่มีรายได้มากกว่า 750 ล้านยูโรต่อปี และ ร่าง พ.ร.ก. กองทุนส่งเสริมการแข่งขัน เป็นกองทุนสนับสนุนเงินที่ บริษัทข้ามชาติที่ต้องเสียภาษีเพิ่มเริ่มมีผลตั้งแต่ 1 ม.ค. 2568 ที่ผ่านมา
ฝ่ายวิจัยฯ ประเมินผลกระทบเบื้องต้นจากมาตรการดังกล่าว ที่มีต่อบริษัทที่อาจจะต้องจ่ายภาษีเพิ่มเติม โดยใช้เกณฑ์ 1) รายได้ปี 2566 สูงกว่าระดับ 2.6 หมื่นล้านบาท และ 2) อัตราภาษี Effective Tax Rate ประเมินโดย Bloomberg ต่ำกว่าระดับ 15.0%
หากใช้สมมุติฐานกรณีเลวร้าย คือ ให้ทุกบริษัทเสียภาษีเพิ่มเป็น 15% โดยไม่ได้รับผลชดเชยด้านอื่น พบว่ากำไรปี 2568F ของบริษัทที่จะถูกกระทบจากมาตรการดังกล่าวอย่างมีนัยยะ ได้แก่
EA (คาดกำไรปี 2568F จะลดลง -11.96%)
GULF (-11.82%)
HANA(-10.37%)
AH (-10.09%)
DELTA (-9.5%)
TU (-3.28%)
หากรวมเป็นผลกระทบต่อคาดการณ์กำไรตลาดจะอยู่ราว -8.6พันล้านบาท หรือ -0.7% ของกำไรตลาดปี 2568F ที่ประเมิน 96 บาท
ในเชิงกลยุทธ์ ประเมินหุ้นที่มีความเสี่ยงกระทบส่วนใหญ่ทยอยปรับตัวลงสะท้อนความเสี่ยงดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว
EA (YTD2568Return +0.5%)
GULF (-6.3%)
HANA (+0.4%)
AH (-3.07%)
CK (-4.69%)
DELTA (-4.92%)
TU (-3.08%)
แต่หากอิงโอกาสที่รัฐฯน่าจะต้องหาช่องทางสนับสนุนเงินคืนเพื่อลดผลกระทบ รวมถึงการบริหารภาษีภายในบริษัทต่างๆ คาดผลกระทบจะจำกัดกว่าที่ประเมินข้างต้น
เชิงกลยุทธ์ แนะนำ ตั้งรับหุ้นที่อยู่ในกลุ่มที่เป็น New S Curve ของไทยระยะถัดไปหากราคาปรับลงมาได้แก่โรงไฟฟ้า ที่อยู่ในธีม Infra Tech เน้น GULF ,GPSC

Key Ideas :พระราชกำหนดภาษีขั้นต่ำสากล (Global Minimum Tax) ที่เริ่มบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1มกราคม 2568 มีจุดประสงค์เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในการแข่งขันทางเศรษฐกิจที่เกิดจากอัตราภาษีที่แตกต่างกันในแต่ละประเทศ

โดยเกณฑ์ดังกล่าว กำหนดให้บริษัทข้ามชาติที่มาลงทุนในประเทศ หรือบริษัทไทยที่ไปลงทุนในต่างประเทศ ต้องเสียภาษีขั้นต่ำในอัตรา 15% ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนด2แนวทางสำหรับบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ (MNEs) ได้แก่
แนวทางที่ 1(Pillar 1) -บังคับใช้บริษัทมีรายได้รวมมากกว่า 20,000ล้านยูโร + มีกำไรมากกว่าม 10% ของรายได้ในประเทศนั้น + มีรายได้ในประเทศนั้นๆ อย่างน้อย 1 ล้านยูโรต่อปี หรือราว 38 ล้านบาท
แนวทางที่ 2(Pillar 2) -บริษัทมีรายได้รวมมากกว่า 750 ล้านยูโร ประเทศไทยจะเริ่มบังคับใช้กฎหมายนี้ในปี 2568
ภายใต้แนวทางที่ 2(Pillar 2) ซึ่งจะทำให้บริษัทที่มาลงทุนในไทยต้องเสียภาษีขั้นต่ำในอัตรา 15% เช่นเดียวกัน
การบังคับใช้กฎหมายนี้เกิดจากความริเริ่มของกลุ่ม OECD เพื่อส่งเสริมความเป็นธรรมทางการค้า
ด้วยเหตุผลดังกล่าว จึงประเมินผลกระทบต่อบริษัทที่คาดว่าจะถูกเก็บภาษีเพิ่มเติมจากกฏหมายดังกล่าว

ในเชิงกลยุทธ์ KSS จึงทำการคัดกรองบริษัทที่มีความเสี่ยงได้รับผลกระทบภาระภาษีที่เพิ่มขึ้น โดยใช้ 2 เกณฑ์ คือ
1.) เป็นบริษัทที่มีธุรกิจทั้งในไทยและต่างประเทศ และมีรายได้รวมมากกว่า 750 ล้านยูโรต่อปี 2.) เป็นบริษัทที่มี Effective Tax Rate ต่ำกว่า 15%
ทั้งนี้ ไม่รวมกลุ่มบริษัทที่มี Effective Tax Rate ต่ำกว่า 15% จากผลบวกการใช้ประโยชน์ผลขาดทุนในอดีต(Loss Carry Forward) อาทิ BJC ,AAV
รวมถึง กลุ่มที่มีฐานกำไรบางส่วนมาจากส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วม ทำให้ Effective tax rate ต่ำกว่า 15% อาทิ CK จะได้บริษัทที่เข้าข่ายมีความเสี่ยงดังกล่าว ดังนี้ ได้แก่
EA (Effective tax rate –3.04%)
GULF (3.18%หากไม่รวมส่วนแบ่งกำไร INTUCH Effective taxrate จะสูงราว 5-6%-เชคพี่หนู?)
HANA (4.63%)
AH (4.91%)
DELTA (5.5%)
ทั้งนี้ หากตั้งสมมุติฐานกรณีเลวร้ายให้ทุกบริษัทต้องเสียภาษีเพิ่มสู่ 15% ตามเกณฑ์ใหม่ โดยไม่รวมผลชดเชยจากการทยอยออกมาตรการช่วยเหลือผ่านกองทุนส่งเสริมการแข่งขันที่ตั้งขึ้นพร้อมๆกัน เพื่อลดผลกระทบระยะถัดไป แต่ละบริษัทจะมี Downside กำไรปี 2568F ดังนี้
EA (คาดกำไรปี 2568F ลดลงจากเดิม -11.96%)
GULF (-11.82%)
HANA (-10.37%)
DELTA (-9.5%)
TU (-3.28%)
ขณะที่ หากรวมเป็นผลกระทบต่อคาดการณ์กำไรตลาดจะอยู่ราว -8.6 พันล้านบาท หรือ -0.7% ของกำไรตลาดปี 2568F ที่บริษัทฯประเมิน 96 บาท
กลยุทธ์ :KSS ประเมินหุ้นที่มีความเสี่ยงกระทบส่วนใหญ่ทยอยปรับตัวลงสะท้อนความเสี่ยงดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว
EA (YTD2025Return +0.5%)
GULF (-6.3%)
HANA (+0.4%)
AH (-3.07%)
CK (-4.69%)
DELTA (-4.92%)
TU (-3.28%)

แต่หากอิงโอกาสที่รัฐฯน่าจะต้องหาช่องทางสนับสนุนเงินคืนเพื่อลดผลกระทบ รวมถึงการบริหารภาษีภายในบริษัทต่างๆ คาดผลกระทบจะจำกัดกว่าที่ประเมินข้างต้น
เชิงกลยุทธ์ แนะนำ ตั้งรับหุ้นที่อยู่ในกลุ่มที่เป็น New S Curve ของไทยระยะถัดไป หากราคาปรับลงมา ได้แก่ โรงไฟฟ้า ที่อยู่ในธีม Infra Tech เน้น GULF ,GPSC