HoonSmart.com>>เงินเฟ้อเดือนธ.ค. เพิ่มขึ้น 1.23% ตามราคาน้ำมัน-อาหารและเครื่องดื่ม-ผลไม้ ทั้งปีโตเฉลี่ย 0.40% คาดปี 68 เคลื่อนไหวในช่วง 0.3-1.3% บนสมมุติฐานเศรษฐกิจโต 2.3-3.3% ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยที่ 70-80 ดอลลาร์/บาร์เรล และอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 34-35 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ประเมินปรับขึ้นค่าแรง 2.9%ไม่ส่งผลกระทบต่อเงินเฟ้ออย่างมีนัยสำคัญ ด้านศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองเงินเฟ้อปี 67 ต่ำกว่าที่คาดไว้ที่ 0.50% เล็กน้อย คาดปี 68 เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 0.70%
สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป (เงินเฟ้อ-CPI) เดือน ธ.ค.2567 อยู่ที่ 108.28 เพิ่มขึ้น 1.23% จากเดือนเดียวกันของปีก่อน (YoY) ต่ำกว่าที่ตลาดคาด 1.40% โดยมีปัจจัยหลักจากการสูงขึ้นของราคาน้ำมันเชื้อเพลิง จากฐานราคาต่ำ ราคาสินค้าในกลุ่มอาหารและเครื่องดื่มสูงขึ้นรวมถึงสินค้าในกลุ่มผลไม้สด เครื่องประกอบอาหาร และเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปปี 2567 เพิ่มขึ้น 0.40%
ขณะที่ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน (Core CPI) เดือนธ.ค.67 อยู่ที่ 105.41 หรืออัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน สูงขึ้น 0.79% ทั้งปี 2567 เพิ่มขึ้น 0.56%
“ใช้ข้อมูลเดือนพ.ย.2567 อัตราเงินเฟ้อของไทย ยังคงอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีอัตราเงินเฟ้อต่ำ อยู่ที่อันดับ 19 จาก 129 เขตเศรษฐกิจที่ประกาศตัวเลข และต่ำเป็นอันดับ 2 ในกลุ่มประเทศอาเซียนจาก 8 ประเทศที่ประกาศตัวเลข (บูรไน อินโดนีเซีย สิงคโปร์ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม สปป.ลาว)”
ในปี 2567 กระทรวงพาณิชย์ คาดเป้าหมายเงินไว้ในกรอบ 0.2-0.8% ขณะที่กรอบนโยบายการเงิน หรือเป้าหมายเงินเฟ้อ ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และกระทรวงการคลัง ที่ตกลงร่วมกันไว้ อยู่ที่ 1-3%
สำหรับเงินเฟ้อทั่วไปในปี 2568 สนค. ตั้งเป้าหมายไว้ในกรอบ 0.3 – 1.3% หรือมีค่าเฉลี่ยที่ 0.8% โดยมาจากสมมติฐานสำคัญ คือ 1. อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจอยู่ที่ 2.3-3.3% ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยที่ 70-80 ดอลลาร์/บาร์เรล และอัตราแลกเปลี่ยน อยู่ที่ 34-35 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
ส่วนในเดือนม.ค.2568 จะยังอยู่ในกรอบเป้าหมาย คาดว่าจะสูงขึ้น 1.25% และเฉลี่ยไตรมาส 1 สูงกว่าระดับ 1% ขณะที่ไตรมาส 2 และ 3 อาจชะลอตัวลงมาอยู่ในระดับต่ำกว่า 1% และจะกลับขึ้นไปมากกว่า 1% อีกครั้งในช่วงไตรมาส 4
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการ สนค. กล่าวว่า จากตะกร้าสินค้าและบริการสำคัญรวม 430 รายการ ที่นำมาคำนวณอัตราเงินเฟ้อของเดือนธ.ค.เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีราคาสูงขึ้น 267 รายการ ได้แก่ ข้าวสารเจ้า, ปลานิล, แตงกวา, กาแฟผงสำเร็จรูป, ค่าไฟฟ้า, ค่าเช่าบ้าน และน้ำมันเชื้อเพลิง เป็นต้น
ส่วนสินค้าและบริการที่ราคาลดลง 105 รายการ ได้แก่ เนื้อสุกร, ไข่ไก่, มะเขือเทศ, กะหล่ำปลี, พริกสด, มะนาว, ผักคะน้า, แชมพู, กระเทียม และสบู่ เป็นต้น ขณะที่สินค้าและบริการที่ราคาไม่เปลี่ยนแปลง 58 รายการ ได้แก่ ค่าบริการขนขยะ, รองเท้าผ้าใบสตรี, ค่าน้ำประปา, ค่าโดยสารเรือ-รถไฟ ค่าตัดผม และค่าหนังสือพิมพ์ เป็นต้น
ผู้อำนวยการ สนค. กล่าวถึงแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อในปี 2568 คาดว่าจะอยู่ในช่วง 0.3-1.3% ค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 0.8% สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน ซึ่งแม้จะแตกต่างจากกรอบเงินเฟ้อที่ 1-3% ในเป้าหมายนโยบายการเงิน แต่ก็ไม่ได้เป็นความขัดแย้งกัน โดยยังเหมาะสมและสอดคล้องกับเศรษฐกิจ ซึ่งกระทรวงพาณิชย์เก็บราคา ทำให้เห็นว่าเงินเฟ้ออยู่ที่ 0.4% ปี 2567 ปี 2568 ค่ากลางอยู่ที่ 0.8% ส่วนที่เหมาะสม คือระดับ 1-3% จ
สำหรับปัจจัยที่สนับสนุนให้อัตราเงินเฟ้อในปี 2568 ปรับสูงขึ้น ประกอบด้วย
1.เศรษฐกิจมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นจากปี 2567 ทั้งการขยายตัวของการลงทุน และการบริโภคภาคเอกชน รวมถึงแนวโน้มนักท่องเที่ยวที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทำให้อุปสงค์ต่อสินค้าและบริการปรับตัวเพิ่มขึ้น
2. ราคาน้ำมันดีเซลในประเทศ ที่กำหนดเพดานไม่เกิน 33 บาท/ลิตร ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยในไตรมาสที่ 1 และ 2/2567
ส่วนปัจจัยกดดันอัตราเงินเฟ้อ ประกอบด้วย
1. ภาครัฐมีแนวโน้มดำเนินมาตรการช่วยเหลือลดภาระค่าครองชีพอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการปรับลดค่าไฟฟ้า และการตรึงราคาก๊าซหุงต้ม (LPG)
2. ฐานราคาผักและผลไม้สด ปี 2567 อยู่ในระดับสูง ซึ่งเป็นผลจากสถานการณ์เอลนีโญ และลานีญา คาดว่าสถานการณ์ จะไม่รุนแรงและส่งผลกระทบต่อราคาไม่มากนัก
3. การชะลอตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ และการจำหน่ายรถยนต์ภายในประเทศ จะส่งผลให้ค่าเช่าบ้าน และราคารถยนต์เพิ่มขึ้นอย่างจำกัด
นายพูนพงษ์ คาดว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนม.ค.คาดว่าจะสูงขึ้น 1.25% และทั้งไตรมาส 1 จะอยู่ในระดับที่สูงกว่า 1% โดยมีปัจจัยสำคัญจากน้ำมันดีเซลที่รัฐบาลยังตรึงราคาไว้ไม่เกินลิตรละ 33 บาท ราคาเนื้อสุกร ยังอยู่ในระดับต่ำกว่าปี 2567 และเครื่องประกอบอาหารบางชนิด มีแนวโน้มราคาสูงขึ้น ส่งผลให้อาหารสำเร็จรูปมีราคาปรับเพิ่มขึ้นตาม
สำหรับการปรับขึ้นค่าแรงปี 2568 ไม่กระทบเงินเฟ้ออย่างมีนัยสำคัญ สนค. กำลังวิเคราะห์ข้อมูลที่จะมีผลต่อระดับรายสินค้า และรายอุตสาหกรรม คาดว่าภายในสัปดาห์นี้จะมีข้อมูลที่ชัดเจน แต่เบื้องต้นคาดว่า ไม่ส่งผลกระทบต่ออัตราเงินเฟ้ออย่างมีนัยสำคัญ
นายพูนพงษ์กล่าวว่า ค่าจ้างปี 2566 เพิ่มขึ้น 3.72% แต่เงินเฟ้อเฉลี่ยทั้งปีที่ 1.23% ส่วนปี 2567 ค่าจ้างเพิ่มขึ้น 2.42% แต่เงินเฟ้อเฉลี่ยที่ 0.40% ปีนี้ค่าจ้างเพิ่มขึ้น 2.9% คาดว่าไม่ส่งผลกระทบต่ออัตราเงินเฟ้ออย่างมีนัยสำคัญ
ด้านบริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือน ธ.ค.เร่งตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ 1.23% YoY จากปัจจัยฐานราคาพลังงานที่อยู่ในระดับต่ำ ประกอบกับราคาสินค้าในหมวดอาหารและเครื่องดื่มบางรายการปรับตัวสูงขึ้น ส่วนทั้งปี 2567 เฉลี่ยอยู่ที่ 0.4% ต่ำกว่าที่คาดไว้ที่ 0.5% เล็กน้อย ขณะที่เงินเฟ้อพื้นฐานเฉลี่ยปี 2567 อยู่ที่ 0.6%
ขณะที่ในปี 2568 มองอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 0.7% เนื่องจากราคาพลังงานในประเทศมีแนวโน้มทรงตัวอยู่ใกล้เคียงระดับเดิม ขณะที่ฐานในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567 อยู่ในระดับต่ำ ประกอบกับผลจากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำคาดว่าจะส่งผลให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นราว 0.08%