นักลงทุนเอเชียมีมุมมองเชิงลบตลาดหุ้นปี’68 จากภาษีศุลกากรของทรัมป์

HoonSmart.com>>ผลสำรวจนักลงทุนต่อหุ้นเอเชีย ค่อนข้างมีมุมมองในแง่ลบเมื่อเริ่มต้นปี 2568  จากความกังวลเกี่ยวกับการหาเสียงของโดนัลด์ ทรัมป์  ประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่ ที่จะขึ้นภาษีศุลการและความเสี่ยงที่เงินดอลลาร์จะแข็งค่าขึ้น  ผู้ตอบแบบสอบถามประมาณครึ่งหนึ่ง คาดหวังว่าจีนจะดีกว่าประเทศอื่นๆ จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและรับรู้ปัจจัยลบไปมากแล้ว 

ตลาดหุ้นในภูมิภาคจะตามหลังสหรัฐฯ อย่างน้อยจนถึงไตรมาสแรก จากข้อมูลผลสำรวจนักกลยุทธ์และผู้จัดการกองทุน 15 รายส่วนใหญ่โดย Bloomberg ในช่วงปลายเดือนธ.ค.ที่ผ่านมา พวกเขามองว่านโยบาย “อเมริกาต้องมาก่อน” หรือ America First ของทรัมป์จะกระตุ้นการเติบโตและส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อในเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก รวมทั้งสนับสนุนเงินดอลลาร์ และจำกัดขอบเขตของธนาคารกลางในการลดอัตราดอกเบี้ย

ในปี 2567 ดัชนี MSCI Asia Pacific เพิ่มขึ้นประมาณ 7% ซึ่งไม่ถึง 1 ใน 3 ของดัชนี S&P 500 ที่ปรับขึ้นถึง 23% จากกระแสตอบรับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ทั่วโลกที่ขับเคลื่อนกหุ้นที่มูลค่าตลาดสูงของสหรัฐฯ

นักลงทุนมองว่าเอเชียไม่น่าจะไล่ตามทันได้ในอนาคตอันใกล้นี้ แม้ว่ามูลค่าจะต่ำเป็นประวัติการณ์เมื่อเทียบกับหุ้นอเมริกันก็ตาม โดย โซซิเอเต้ เยนเนอรัล คาดว่า ในไตรมาสแรก จะเป็นช่วงขาลง ขณะที่ เมย์แบงก์ ซิเคียวริตี้ กล่าวว่า สกุลเงินท้องถิ่นที่อ่อนตัวลงจะส่งผลต่อการไหลเข้าในตราสารทุน

โทโมะ คิโนชิตะ นักกลยุทธ์การตลาดระดับโลกของ Invesco Asset Management Japan กล่าวว่า ตลาดหุ้นเอเชียมีแนวโน้มที่จะเผชิญกับความไม่แน่นอนที่เกิดจากนโยบายใหม่ของฝ่ายบริหารของทรัมป์ และไม่คาดหวังว่ามูลค่าหุ้นจะดีขึ้นมากในไตรมาสแรก โดยมองดัชนี MSCI Asia สิ้นเดือนมีนาคมไว้ที่ระดับ 185 ซึ่งสูงกว่าระดับปิดสิ้นปี 2567 ไม่ถึง 2%

แม้แนวโน้มของเอเชียโดยรวมจะดูแย่ แต่ผู้ตอบแบบสอบถามประมาณครึ่งหนึ่งกล่าวว่าพวกเขาคาดหวังว่าจีนจะมีปรับตัวดีกว่าประเทศอื่นๆ จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล และมีการรับรู้ปัจจัยลบส่วนใหญ่ไปแล้ว ตลอดจนมูลค่าหุ้นยังคงต่ำ แม้ฟื้นตัวจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงปลายเดือนกันยายนก็ตาม

ดัชนี CSI 300 ของจีนเพิ่มขึ้นเกือบ 15% ในปีที่แล้ว ซึ่งเป็นการปรับขึ้นรายปีครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2563 โดยปรับขึ้นในไตรมาสสุดท้ายเป็นส่วนใหญ่

ซิน เหยาอึ้ง ผู้อำนวยการการลงทุนของ Abrdn Plc ซึ่งแนะนำให้ซื้อหุ้นกลุ่มสินค้าอุปโภผบริโภคที่มีคุณภาพกล่าวว่า หุ้นจีนมีโอกาสปรับขึ้น เนื่องจากนักลงทุนประเมินความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศต่ำไป การเก็บภาษีของสหรัฐฯ อาจจะไม่รุนแรง หากทรัมป์และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง บรรลุข้อตกลงร่วมกัน

ประมาณ 1 ใน 3 ของผู้ตอบแบบสอบถามบอกว่า พวกเขาคาดหวังว่าญี่ปุ่นจะโดดเด่นกว่าประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคอีกครั้ง หลังจากที่ดัชนี Topix พุ่งขึ้นเกือบ 18% ในปี 2567

แจ๊ค เสี่ยว หัวหน้าฝ่ายบริหารพอร์ตโฟลิโอเอเชียของ Lombard Odier กล่าวว่า หุ้นญี่ปุ่นดูน่าสนใจจากการเติบโตของผลประกอบการและการปรับปรุงโครงสร้างในระบบเศรษฐกิจ นักลงทุนที่เทน้ำหนักไปที่ญี่ปุ่นชี้ว่าแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางจะค่อยเป็นค่อยไป

ความเสี่ยงที่ใหญ่ที่สุดที่เอเชียเผชิญในไตรมาสแรกจากเกือบ 70% ของผู้ตอบแบบสอบถามคือ ภาษีศุลกากรที่สูงขึ้น ขณะที่อีกส่วนหนึ่งชี้ไปที่ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ หรือแนวโน้มที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนที่ไม่มากพอ

Manulife Investment Management ระบุว่า นักลงทุนควรมุ่งเน้นไปที่บริษัทที่มีกระแสเงินสดและงบดุลที่แข็งแกร่ง เนื่องจากสามารถฝ่าฟันอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นในระยะยาว และปรับตัวรับกับระบบภาษีศุลกากรใหม่ของสหรัฐฯได้

จัสมิน ต้วน นักกลยุทธการลงทุนอาวุโสของ RBC Wealth Management Asia กล่าวว่า นักลงทุนไม่ควรรีบร้อนในการซื้อ และบริษัทต้องการความชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับภาษีก่อนที่จะจัดสรรการลงทุนเพิ่มในหุ้นเอเชีย ภาษีศุลกากรถือเป็นปัจจัยที่กดดันตลาดหุ้นเอเชียมากที่สุดในขณะนี้ และเมื่อมีภาษีศุลกากรตลาดก็มีแต่แย่กับแย่