HoonSmart.com>>ปี 2024 เป็นปีทองของตลาดหุ้นสหรัฐ ดัชนีดาวโจนส์เพิ่มขึ้น 12.88% Nasdaq บวก 28.64% ดัชนี S&P 500 ปรับขึ้นเกิน 20% ปีที่สอง ได้ปัจจัยบวกกระแสตอบรับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์หรือ AI การปรับลดดอกเบี้ยครั้งแรกของเฟดในรอบสามปีครึ่ง ตลาดคาดปี 2025 จะปรับลดอีก 0.50% ส่วนตลาดหุ้นยุโรปในไตรมาสสุดท้ายนับว่าแย่ที่สุดในรอบกว่าสองปี จากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับดอกเบี้ยและนโยบายของทรัมป์
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average: DJIA) วันที่ 31 ธ.ค. 2567 ปิดที่ 42,544.22 จุด ลดลง 29.51 จุด หรือ -0.07% แต่นักลงทุนปิดบัญชีลงทุนของปีนี้ด้วยความแข็งแกร่งของตลาดเพิ่มขึ้น 12.88% ระหว่างปีทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ด้วยสองปัจจัยคือกระแสตอบรับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์หรือ AI และการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)ในรอบสามปีครึ่ง
ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 5,881.63 จุด ลดลง 25.31 จุด, -0.43%
ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 19,310.79 จุด ลดลง 175.99 จุด, -0.9%
ปี 2024 ดัชนี S&P 500 ปรับขึ้นเกิน 20% ต่อปี เป็นครั้งที่สองติดต่อกัน จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ และ AI โดย S&P 500 เพิ่มขึ้น 23.31% จากที่เพิ่มขึ้น 24.2% ในปีที่แล้ว การเพิ่มขึ้น 53% ในสองปีนั้นดีที่สุดนับตั้งแต่การเพิ่มขึ้นเกือบ 66% ในปี 1997 และ 1998
ส่วนดัชนีดาวโจนส์เพิ่มขึ้น 12.88% ในปี 2024 ขณะที่ดัชนี Nasdaq ทำได้ดีกว่าโดยเพิ่มขึ้น 28.64%
แม้ปรับขึ้นอย่างแข็งแกร่งตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน แต่ทั้งสามดัชนีหลักปิดตัวในแดนลบ ท่ามกลางการซื้อขายที่ซบเซาและวอลุ่มที่เบาบางในวันสุดท้ายของเดือนธ.ค. จากการขายทำกำไรในหุ้นที่ปรับขึ้นสูงที่สุดของปี 2024 และความกังวลจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่สูงขึ้นในช่วงสิ้นปี ในเดือนธันวาคมดัชนีดาวโจนส์ลดลง 5.3% ดัชนี S&P ลดลง 2.5% แต่ดัชนี Nasdaq เพิ่มขึ้น 0.5%
นักลงทุนต่างหวังว่าจะมี Santa Claus rally หรือการปรับขึ้นของตลาดในแต่ละวันในช่วง 5 วันทำการสุดท้ายของปีปฏิทินและ 2 วันทำการแรกของเดือนมกราคม ในทางกลับกัน S&P 500 ปิดปีด้วยการลดลงสี่วันติดต่อกันเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 1966
เกร็ก บาซซุค ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ AXS Investments กล่าวว่า สัปดาห์นี้ไม่มี Santa Claus rally แต่นักลงทุนได้รับของขวัญจากการปรับขึ้นในปี 2024 ซึ่งเป็นปีที่ตลาดปรับขึ้นอย่างมากด้วยแรงหนุนของ AI การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด และเศรษฐกิจสหรัฐที่แข็งแกร่ง และปูทางสำหรับความแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องมุ่งหน้าสู่ปี 2025
กระแส AI และศักยภาพในการเพิ่มผลิตภาพของ AI ช่วยขับเคลื่อนดัชนีหลักให้ทำสถิติสูงสุดตลอดทั้งปี หุ้นผู้ผลิตชิปอย่าง Nvidia และหุ้น Apple ผู้ผลิตiPhone ซึ่งอยู่ในกลุ่ม Magnificent 7 เพิ่มขึ้น 171% และ 30% ตามลำดับ และต่างทำสถิติสูงสุดใหม่ในปี 2024
ในช่วงครึ่งหลังของปี เฟดได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 1%ตั้งแต่เดือนกันยายน ซึ่งหนุนความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะสามารถรักษาการเติบโตในช่วงที่ผ่านมาได้ หุ้นยังปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วหลังจากโดนัลด์ ทรัมป์ชนะการเลอืกตั้งประธานาธิบดีในเดือนพฤศจิกายน เนื่องจากนักลงทุนพากันขานรับนโยบายที่จะลดภาษีและผ่อนคลายการกำกับดูแลภายใต้การบริหารของพรรครีพับลิกัน
หุ้นธนาคารเป็นกลุ่มหนึ่งที่พุ่งขึ้นหลังการเลือกตั้ง โดย JPMorgan และ Goldman Sachs ปิดปีเพิ่มขึ้นประมาณ 41% และ 48% ตามลำดับ หุ้น Tesla ซึ่งอีลอน มัสค์ ซีอีโอ เป็นพันธมิตรใกล้ชิดกับทรัมป์ จบปีเพิ่มขึ้นมากกว่า 62%
ในบรรดา 11 กลุ่มหลักใน S&P 500 นั้น กลุ่มบริการด้านการสื่อสาร เทคโนโลยี และกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยเพิ่มขึ้นอย่างมากในปี 2024 โดยเพิ่มขึ้นระหว่าง 29.1% ถึง 38.9%
กลุ่มเฮลธ์แคร์ อสังหาริมทรัพย์ และพลังงานเป็นกลุ่มที่เพิ่มขึ้นด้วยตัวเลขหลักเดียว ขณะที่กลุ่มวัสดุเป็นเพียงกลุ่มเดียวที่ปรับตัวลงในปี 2024 โดยลดลงเกือบ 1.8%
เมื่อมองไปข้างหน้าในปี 2025 ขณะนี้ตลาดการเงินมองว่ามีโอกาสที่เฟดจะลดดอกเบี้ยลงอีก 0.50% และนักลงทุนจับตาไปที่มูลค่าหุ้นที่ขึ้นมามากแล้วและความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบายภาษีและภาษีศุลการจากฝ่ายบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์
เกร็ก บาซซุคกล่าวว่า นักลงทุนควรระมัดระวังเกี่ยวกับผลกระทบจากการเข้ามาของคณะบริหารของทรัมป์ และผลกระทบต่อกลุ่มต่างๆ รวมไปถึงความไม่แน่นอนด้านภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะสงครามรัสเซีย/ยูเครน และความขัดแย้งอย่างต่อเนื่องในตะวันออกกลาง อย่างไรก็ตามกระแส AI บูมยังมีพื้นที่ให้เติบโต
ตลาดยุโรปปิดบวกด้วย ปริมาณการซื้อขายเบาบางก่อนช่วงวันหยุดปีใหม่ โดยตลาดหุ้นในเยอรมนี อิตาลี และสวิตเซอร์แลนด์ปิดทำการแล้วเมื่อวันอังคาร ส่วนตลาดฝรั่งเศส สเปน และสหราชอาณาจักรซื้อขายครึ่งวัน
ตลาดหุ้นยุโรปทั้งหมดจะหยุดปีใหม่ในวันนี้ (1 ม.ค.) และกลับมาเปิดทำการอีกครั้งวันพรุ่งนี้ (2 ม.ค.)
ตลาดยุโรปในไตรมาสสุดท้ายของปีเป็นไตรมาสที่แย่ที่สุดในรอบกว่าสองปี เนื่องจากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยและนโยบายของรัฐบาลทรัมป์ได้ฉุดการปรับขึ้นที่ผลักดันให้ตลาดหลายแห่งทำสถิติสูงสุดในปีนี้
ดัชนีSTOXX 600 ทั่วยุโรปเพิ่มขึ้น 0.6% ในช่วงการซื้อขายสุดท้ายของปี แต่ลดลงรายไตรมาสประมาณ 3% ซึ่งมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2022
ตลาดหุ้นเยอรมนีมีผลงานดีกว่าตลาดยุโรปในวงกว้างในปีนี้ โดยพุ่งขึ้นเกือบ 19% ขณะที่ความไม่แน่นอนทางการเมืองและความกังวลเกี่ยวกับการขาดดุลทางการคลังที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้ ดัชนี CAC 40 ของฝรั่งเศสลดลง 2.1%
หุ้นยุโรปพุ่งแตะระดับ all-time high ในเดือนกันยายน ตาม กระแส AI ในตลาดหุ้นสหรัฐ และแรงหนุนจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยจากธนาคารกลางยุโรป
ดัชนี FTSE 100 ของสหราชอาณาจักรขยับขึ้น 5% ในปี 2024 ซึ่งปรับขึ้นเป็นปีที่สี่ติดต่อกัน
กลุ่มธนาคารและกลุ่มประกันภัยนำการปรับขึ้นในปีนี้ แต่กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม กลุ่มรถยนต์ลดลง
ดัชนี STOXX 600 ปิดที่ 507.62 จุด เพิ่มขึ้น 0.44 จุด, 0.087%
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 8,173.02 จุด เพิ่มขึ้น 52.01 จุด, 0.64%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,380.74 จุด เพิ่มขึ้น 67.18 จุด, 0.92%
ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดทำการเมื่อวานนี้ เนื่องในวัน New Year’s Eve
ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนกุมภาพันธ์ เพิ่มขึ้น 73 เซนต์ หรือ 1.03% ปิดที่ 71.72 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือนมีนาคมกุมภาพันธ์ เพิ่มขึ้น 65 เซนต์ หรือ 0.88% ปิดที่ 74.64 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล