ดาวโจนส์ปิดร่วง 418 จุด ขายทำกำไรสิ้นปี

HoonSmart.com>>ตลาดหุ้นสหรัฐทั้ง 3 แห่ง ปิดร่วงลงแรง ดาวโจนส์ปิดติดลบ 418 จุด เจอแรงขายทำกำไรสิ้นปี และแรงกดดันจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ยังสูงขึ้น ส่วนตลาดหุ้นยุโรปลดลงตามสหรัฐ ราคาน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น 

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average: DJIA) วันที่ 30 ธ.ค. 2567 ปิดที่ 42,573.73 จุด ลดลง 418.48 จุด หรือ -0.97% มีปริมาณการซื้อขายเบาบาง จากการเทขายทำกำไรในวงกว้างก่อนปิดสิ้นปี ขณะที่ยังมีแรงกดดันจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ยังสูงขึ้น

ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 5,906.94 จุด ลดลง 63.90 จุด, -1.07%
ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 19,486.78 จุด ลดลง 235.25 จุด, -1.19%

ทั้งสามดัชนีหลักร่วลงแรง โดยหุ้นทั้ง 11 กลุ่มใน S&P 500 ปิดในแดนลบ นำโดยการลดลงของหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย

การซื้อขายผันผวน ตลอดทั้งวัน ในช่วงหนึ่งดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงไปที่ระดับต่ำสุดของวันกว่า 700 จุด เนื่องจากขาดปัจจัยหลัก อย่างไรก็ตามดัชนีหลักกำลังมุ่งสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในช่วงปลายปี โดย S&P 500 และดาวโจนส์ เพิ่มขึ้นประมาณ 24% และ 13% ตามลำดับ และเป็นปีที่ดีที่สุดนับตั้งแต่ปี 2021 ส่วน Nasdaq เพิ่มขึ้นเกือบ 30% ในปี 2024 และน่าจะเป็นการปรับขึ้นรายไตรมาสที่ยาวนานที่สุดนับตั้งแต่ปี 2021

นักลงทุนกังวลว่าโมเมนตัมของตลาดอาจหายไป จากการทำกำไรในช่วงปลายปี หลังจากที่ดัชนีหลักร่วลงในวันศุกร์ หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีขนาดใหญ่ลดลงอีกครั้งในวันจันทร์ โดยหุ้น Tesla ร่วง 3.3% และหุ้น Meta Platforms ลดลง 1.4% หุ้น Nvidia เพิ่มขึ้น 0.4% ซึ่งช่วยต้านการลดลงในกลุ่มอื่น

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี พุ่งสูงกว่าระดับ 4.5% เมื่อเร็ว ๆ นี้ หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)เมื่อวันที่ 18 ธ.ค. ส่งสัญญาณว่าจะชะลอการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ส่งผลมีความกังวลเกี่ยวกับมูลค่าหุ้นที่สูงขึ้น

จิม บาร์นส์ ผู้อำนวยการฝ่ายตราสารหนี้ที่ Bryn Mawr Trust กล่าวว่า ตลาดตราสารหนี้ค่อนข้างจะอิงจากสิ่งที่เกิดขึ้นในตลาดหุ้น นักลงทุนขายทำกำไรในตราสารทุนและอาจกลับไปลงทุนในตราสารหนี้อีกครั้ง ณ จุดนี้ ตลาดตราสารหนี้มีความน่าสนใจจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่เพิ่มขึ้นในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอ่อนตัวลงในวันจันทร์ และลดลงในช่วงสั้นๆ หลังจากข้อมูลแสดงให้เห็นว่ากิจกรรมทางธุรกิจในเขตมิดเวสต์ของสหรัฐฯ หดตัวมากกว่าที่คาดในเดือนธันวาคม

นอกจากนี้การปรับสถานะภาษีสิ้นปี และความไม่แน่นอนในปี 2025 ล้วนมีส่วนทำให้มีการลดความเสี่ยง

โอลิเวอร์ เพิร์ช รองประธานอาวุโสของ Wealthspire Advisors กล่าวว่า ปีหน้าจะมีความผันผวนมากขึ้นโดยเฉพาะในไตรมาสแรก แต่ก็คิดว่ามีโอกาสที่หุ้นจะปรับขึ้นได้ดีพอสมควรและมีผลตอบแทนเป็นเลขหลักเดียวประมาณกลางๆในปีหน้า นโยบายของโดนัลด์ ทรัมป์ที่จะลดลงภาษีบวกกับการผ่อนคลายด้านกฎระเบียบมากขึ้นมีแนวโน้มที่จะส่งผลให้หุ้นพุ่งขึ้นเกินกว่า fair value

หุ้น Boeing ลดลง 2.3% หลังจากทางการเกาหลีใต้สั่งตรวจสอบเครื่องบินโบอิ้ง B737-800 หลังเครื่องบินรุ่นนี้ของสายการบิน Jeju Air ประสบอุบัติเหตุขณะลงจอดที่สนามบินนานาชาติมูอันของเกาหลีใต้ จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 179 ราย เมื่อวันอาทิตย์

สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการรายงานเมื่อวานนี้ ได้แก่ ดัชนีการทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) เดือนพ.ย.จาก สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐฯ (NAR) ซึ่งเพิ่มขึ้น 2.2% เมื่อเทียบรายเดือน มาที่ 79.0 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.พ.2023 และปรับขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4 ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าเพิ่มขึ้นเพียง 0.9% หลังจากเพิ่มขึ้น 1.8% ในเดือนต.ค.

ตลาดหุ้นนิวยอร์กจะเปิดการซื้อขายเพียงครึ่งวันในวันนี้ (31 ธ.ค.) ก่อนที่จะปิดทำการในวันที่ 1 ม.ค.เนื่องในวันปีใหม่ และจะปิดทำการในวันที่ 9 ม.ค. 2025 เพื่อไว้อาลัยต่อการถึงแก่อสัญกรรมของอดีตประธานาธิบดีจิมมี คาร์เตอร์

ตลาดยุโรปปิดลบ ในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นสหรัฐ เนื่องจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลยังคงสูงอยู่ ทำให้นักลงทุนต้องถอนหุ้นออกในช่วงปลายปีที่มีผลบวกต่อตลาดในภูมิภาคบางแห่ง

กลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มเฮลธ์แคร์ นำการลดลง

ปริมาณการซื้อขายเบาบางก่อนวันหยุดปีใหม่ในวันพุธ ตลาดหุ้นในเยอรมนี อิตาลี และสวิตเซอร์แลนด์ก็ปิดทำการในวันอังคารเช่นกัน ขณะที่ตลาดหุ้นในสหราชอาณาจักรและฝรั่งเศสมีการซื้อขายครึ่งวัน

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล ของเยอรมันอายุ 10 ปีซื้อขายใกล้ระดับสูงสุดนับตั้งแต่กลางเดือนพฤศจิกายน ตามการปรับขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ เนื่องจากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบายการเงินในปีหน้า และแนวโน้มของนโยบายที่จะทำให้เกิดภาวเงินเฟ้อภายใต้การดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของทรัมป์ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน

ดัชนี STOXX 600 ยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 5.9% ต่อปี โดยหุ้นเยอรมนีขึ้นนำในภูมิภาคและคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 19% ในปีนี้ทำให้เป็นตลาดที่มีผลงานสูงสุดในปีนี้ในบรรดาตลาดหุ้นใหญ่ของยุโรป

ส่วนตลาดหุ้นฝรั่งเศสตามมาห่างๆ ดัชนี CAC 40 ลดลง 2.5% ในปีนี้ จากความกังวลเกี่ยวกับการขาดดุลทางการคลังที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและความวุ่นวายทางการเมือง

กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม รวมถึงรถยนต์เป็นกลุ่มที่มีผลการดำเนินงานแย่ที่สุดทั่วทั้งทวีปในปีนี้ ขณะที่กลุ่มธนาคารเป็นกลุ่มที่ปรับขึ้นดีที่สุด
ดัชนี STOXX 600 ปิดที่ 504.85 จุด ลดลง 2.33 จุด, -0.46%
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 8,121.01 จุด ลดลง 28.77 จุด, -0.35%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,313.56 จุด ลดลง 41.81 จุด, -0.57%,
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 19,909.14 จุด ลดลง 75.18 จุด, -0.38%

ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนก.พ. เพิ่มขึ้น 39 เซนต์ หรือ 0.55% ปิดที่ 70.99 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือนก.พ. เพิ่มขึ้น 22 เซนต์ หรือ 0.3% ปิดที่ 74.39 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล