ก.ล.ต.เล็งเข้มตรวจสอบ ‘เน็กเก็ตชอร์ต’ ปรับเกณฑ์โปรแกรมเทรดดิ้ง

HoonSmart.com>>ก.ล.ต. สมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย (ASCO) และผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์รวม 38 บริษัท ร่วมหาแนวทางสร้างความเชื่อมั่นในตลาดทุนไทยอย่างยั่งยืน ยอมรับอยู่ระหว่างการทบทวน  การตรวจสอบธุรกรรมเน็กเก็ตชอร์ต  กลไกกำกับธุรกรรมขายชอร์ต การซื้อขายผ่านโปรแกรม เทรดดิ้ง เช่น การวางหลักประกัน การส่งมอบหลักทรัพย์  แนวทางในการพัฒนาและยกระดับอุตสาหกรรมธุรกิจหลักทรัพย์ตามมาตรฐานสากล

สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) นำโดยนางพรอนงค์ บุษราตระกูล เลขาธิการ และผู้บริหาร ประชุมร่วมกับสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย (ASCO) นำโดยนายพิเชษฐ สิทธิอำนวย นายกสมาคม พร้อมด้วยกรรมการและสมาชิกสมาคม ซึ่งประกอบด้วยผู้บริหาร ผู้แทนจากผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ จำนวน 38 แห่ง  โดยแลกเปลี่ยน ความคิดเห็น และข้อเสนอแนะเกี่ยวกับแนวทางในการพัฒนาอุตสาหกรรมธุรกิจหลักทรัพย์และตลาดทุนไทย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อตลาดทุนไทย โดยทุกภาคส่วนสามารถใช้ประโยชน์จากตลาดทุนได้อย่างทั่วถึง และเป็นธรรม ที่สำนักงาน ก.ล.ต. เมื่อวันที่ 27 พ.ย. 2566

ในที่ประชุมได้มีการหารือถึงสิ่งที่ ก.ล.ต. ได้ดำเนินการแล้วและเรื่องที่อยู่ระหว่างการทบทวน เช่น การตรวจสอบธุรกรรมเน็กเก็ตชอร์ต (naked short selling) และกลไกในการกำกับธุรกรรมขายชอร์ต การซื้อขายผ่านโปรแกรมเทรดดิ้ง  อาทิ การวางหลักประกัน การส่งมอบหลักทรัพย์ เพื่อให้ตลาดหลักทรัพย์มีเสถียรภาพ เป็นธรรม และไม่เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบของผู้ลงทุนแต่ละประเภท

พร้อมกันนี้ ก.ล.ต. ยังขอให้ ASCO ทบทวนแนวปฎิบัติสำหรับสมาชิกในธุรกรรมขายชอร์ตให้เข้ากับบริบทปัจจุบัน และสอดคล้องตามข้อสังเกตของ ก.ล.ต. เพื่อทำให้มั่นใจยิ่งขึ้นว่าบริษัทหลักทรัพย์มีแนวปฎิบัติที่มีมาตรฐานเดียวกัน อันจะเป็นการป้องกันการกระทำที่ไม่ถูกต้องได้อย่างมีประสิทธิภาพ ร่วมกับการตรวจสอบของหน่วยงานกำกับต่อไป รวมถึงพิจารณาการกำหนดค่าธรรมเนียมการให้บริการซื้อขาย (ค่าคอมมิชชั่น)ในอุตสาหกรรม เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมระหว่างผู้ลงทุน สะท้อนการแข่งขันในเชิงคุณภาพ ซึ่งจะก่อให้เกิดความยั่งยืนกับอุตสาหกรรม

“ก.ล.ต. ให้ความสำคัญกับการสร้างความเชื่อมั่นต่อตลาดทุนโดยรวม ซึ่งในการประชุมครั้งนี้ เพื่อเปิดรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะอย่างรอบด้านจากบริษัทหลักทรัพย์ที่มีขนาดและลักษณะธุรกิจที่หลากหลาย เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมกับผู้มีส่วนได้เสีย รวมถึงผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ ซึ่งอยู่ในห่วงโซ่คุณค่า (Value chain) เดียวกันในตลาดทุน จึงเห็นว่าการหารือและแลกเปลี่ยนความเห็นเพื่อทำงานร่วมกันเป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งในการกำหนดทิศทางของตลาดทุนให้เป็นไปอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ ก.ล.ต. จะนำทุกข้อเสนอแนะ ข้อสังเกตไปกลั่นกรองและศึกษาต่อเพื่อกำหนดเป็นหลักเกณฑ์ต่อไป และคาดหวังว่าจะมีการร่วมหารือกันเป็นระยะอย่างต่อเนื่อง” เลขาธิการ ก.ล.ต. กล่าว