HoonSmart.com>>”ไทยออยล์”(TOP) ยันจำเป็นต้องเพิ่มงบลงทุนโครงการ CFP ให้เสร็จในปี 71 IRR 7%เงินทุนพร้อม ไม่มีแผนเพิ่มทุน ไม่กระทบจ่ายเงินปันผล มีเงินสดในมือ 3 หมื่นล้านบาท ใช้เงินกู้-ออกหุ้นกู้ กำไรในอนาคต ปี 68 ครบสัญญาจ้างผู้รับเหมาหลัก เดินหน้ารักษาผลประโยชน์บริษัท-ผู้ถือหุ้น มุ่งเป้าเป็นผู้นำในภูมิภาคในอนาคต เพิ่มผลิตภัณฑ์มูลค่าเพิ่มสูง คาร์บอนต่ำ กำไรพุ่งในช่วงมาร์จิ้นสดใส ลดแรงกดดันในภาวะตกต่ำ เลิกผลิตน้ำมันเตาที่ขายขาดทุน 10 เหรียญ/บาร์เรล
นายบัณฑิต ธรรมประจำจิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทไทยออยล์ (TOP) เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนจัดหางบประมาณลงทุนส่วนเพิ่มของโครงการพลังงานสะอาด ( CFP) ประมาณ 63,028 ล้านบาทและดอกเบี้ยระหว่างการก่อสร้างประมาณ 17,922 ล้านบาท ประกอบด้วย 1) เงินสดในมือประมาณ 30,000 ล้านบาท หรือประมาณ 800 ล้านดอลลาร์ กระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัทฯในปี 2568-2571 และ 2) การออกหุ้นกู้ หรือ การกู้ยืมจากธนาคารพาณิชย์ รวมทั้งพิจารณาหาเครื่องมือทางการเงินใหม่ๆ เช่น การออกตราสารกึ่งหนี้กึ่งทุน รวมถึง การบริหารจัดการทรัพย์สินให้เกิดประโยชน์สูงสุด
” วงเงินลงทุนที่เพิ่มขึ้นนั้น เป็นเพียงการวางกรอบสำหรับการลงทุนให้แล้วเสร็จ ซึ่งอาจจะใช้ไม่หมดก็เป็นไปได้ เช่นเดียวกับดอกเบี้ย เราเลือกก่อหนี้ในช่วงที่จำเป็นเท่านั้น โดยบริษัทขอยืนยันว่าไม่มีแผนการเพิ่มทุน และจะไม่ส่งผลกระทบต่อแผนการจ่ายเงินปันผลอย่างมีนัยสำคัญ ตามนโยบายไม่น้อยกว่า 25% ของกำไรสุทธิ ที่สำคัญยังคงรักษาสัดส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E)ให้อยู่ที่ 1 เท่าตามข้อกำหนด จึงไม่น่าจะมีผลต่อการปรับลดอันดับเครดิตแต่อย่างใด แต่ด้วยระยะเวลาและงบลงทุนที่เพิ่มมากขึ้น จึงกระทบกับผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR) โดยที่ปรึกษาทางการเงินอิสระ คือ บล.กรุงไทย เอ็กซ์สปริง ประเมิน IRR ลดลงจาก 12% เหลือ 7% แต่หากเทียบอัตราผลตอบแทนกับต้นทุนเฉลี่ย IRR ยังสูงกว่า “นายบัณฑิตกล่าว
บริษัทฯ มั่นใจว่างบประมาณที่ขอเพิ่มเติมเพียงพอต่อการดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จ ได้ศึกษาและประเมินร่วมกับที่ปรึกษาและผู้เชี่ยวชาญด้วยความระมัดระวัง บริษัทฯจะบริหารจัดการงบประมาณให้ดีที่สุด เมื่อโครงการเสร็จจะทำให้ไทยออยล์มีผลประกอบการทางการเงิน ทั้งในส่วนรายได้ผลกำไรและฐานะทางการเงินดีขึ้น อีกทั้งยังช่วยเสริมสร้างศักยภาพในการแข่งขัน เป็นผู้นำของภูมิภาคในอนาคต เป็นการวางแผนระยะยาว 20 ปี ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อบริษัทฯและผู้ถือหุ้นในระยะยาว
นายบัณฑิต กล่าวต่อไปอีกว่า การก่อสร้างโครงการฯที่ต้องเลื่อนออกไปกว่า 3 ปี เป็นผลมาจากการดำเนินงานขั้นตอนที่เหลือเป็นส่วนงานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเชื่อมต่อระบบของโครงการฯ ที่มีความยุ่งยากและซับซ้อน ดังนั้นก่อนเปิดดำเนินการ จึงต้องทำการทดสอบระบบจนกว่าจะมั่นใจว่าสามารถเปิดดำเนินการได้ตามมาตรฐานที่กำหนดไว้อย่างสมบูรณ์
นอกจากนี้ การก่อสร้างหน่วยกลั่นใหม่ ที่ทำหน้าที่เพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ โดยเปลี่ยนน้ำมันเตาและยางมะตอยให้เป็นน้ำมันอากาศยานและดีเซลไม่เป็นไปตามแผนที่กำหนด เนื่องจากปัญหาการหยุดงานของกลุ่มบริษัทรับเหมาช่วง เนื่องมาจากไม่ได้รับค่าจ้างค้างจ่ายจากผู้รับเหมาหลัก UJV ทำให้การดำเนินโครงการต้องสะดุดจนต้องปรับระยะเวลาดำเนินโครงการออกไป ทั้งนี้ การขายน้ำมันเตาในปัจจุบันต่ำกว่าต้นทุนการผลิตประมาณ 10 ดอลลาร์/บาร์เรล
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ บริษัทได้พยายามหาทางแก้ไขเพื่อให้การดำเนินงานกลับเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็วที่สุดเพื่อให้โครงการสามารถเดินหน้าต่อไปให้แล้วเสร็จ คาดว่าบริษัทฯ จะสามารถสรุปเวลาให้แน่ชัดขึ้นในปี 2568 ในเรื่องความเสียหาย ผู้รับเหมาหลักต้องปฏิบัติตามสัญญา ตามกำหนดเวลาที่ต้องทำโครงการแล้วเสร็จ และในสัญญากำหนดสิทธิของบริษัทไว้อย่างครอบคลุม รวมถึงกรณีการเรียกความเสียหาย ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินการตามสัญญา หากรีบร้อนไปอาจเสีย position ของบริษัท ทั้งนี้กำหนดสัญญาส่งมอบงานของผู้รับเหมาหลัก UJV จะสิ้นสุดภายในปี 2568 ซึ่งการดำเนินการในลำดับถัดไปจะมีการแจ้งให้ผู้เกี่ยวข้องทราบ
“ตอนนี้อยู่ในกระบวนการตามสัญญา หน้าที่เราต้องรักษาสิทธิก่อน เมื่อถึงเวลาที่สมควรเราก็ต้องใช้สิทธิของบริษัทที่มีตามสัญญา ดังนั้นเราจะไปจ้างผู้รับเหมาหลักรายใหม่หรือไม่ เป็นกระบวนการที่อยู่ในอนาคต ขออนุญาตไม่ลงในรายละเอียดสิทธิตามสัญญา เพราะผมต้องรักษาประโยชน์ของผู้ถือหุ้น เนื่องจากเป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวัง”นายบัณฑิต กล่าว
โครงการนี้เป็นโครงการขนาดใหญ่มีมูลค่าสูง บริษัทต้องพิจารณาด้วยความรอบคอบ ในการตรวจรับงานและการจ่ายเงินโครงการฯ ต้องเป็นไปตามหลักสากลและเงื่อนไขในสัญญา มีการตรวจสอบความถูกต้องทั้งในส่วนปริมาณงานและคุณภาพงานจากผู้ที่เกี่ยวข้องทุกส่วน รวมทั้งจ้างที่ปรึกษาบริหารโครงการที่มีความเชี่ยวชาญในงานก่อสร้างเป็นผู้ประเมินและตรวจรับงาน และจัดตั้งคณะกรรมการกำกับดูแลโครงการฯ ให้การดำเนินการเป็นไปตามหลักสากลในการบริหารโครงการขนาดใหญ่
” ไทยออยล์เพิ่มวงเงินลงทุนครั้งนี้ ได้เสนอให้ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นอนุมัติด้วย เพราะมีส่วนได้และส่วนเสีย ผมขอยืนยันว่าไทยออยล์ยึดมั่นในหลักธรรมาภิบาลสำหรับการดำเนินธุรกิจกับผู้มีส่วนได้เสียอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งมีหน่วยตรวจสอบภายในเพื่อให้มั่นใจว่ากระบวนการทำงานต่างๆ เป็นไปอย่างโปร่งใสและเป็นธรรม”นายบัณฑิต กล่าว
ด้านการซื้อขายหุ้น TOP วันที่ 23 ธ.ค.2567 ราคาหุ้นยังคงลดลงต่อเนื่อง ร่วงลงไปต่ำสุดที่ 24.50 บาท ก่อนฟื้นมาเคลื่อนไหวบริเวณ 26 บาท ลดลง 1.25 บาทหรือ 4.59% ส่วนทางกับภาวะตลาดหุ้นโดยรวมที่เพิ่มขึ้นมากกว่า 17 จุด