“อเบอร์ดีน”ชี้จังหวะลงทุนตราสารหนี้ ส่งกองทุนใหม่ชูผันผวนต่ำ ผลตอบแทนเด่น

HoonSmart.com>> “บลจ.อเบอร์ดีน” มองโอกาสลงทุน “ตราสารหนี้” เชื่อดอกเบี้ยสหรัฐฯ พีคแล้ว แนวโน้มขาลงปีหน้า คาดเศรษฐกิจชะลอตัวไม่รุนแรง เสิร์ฟกองทุนใหม่ ABGFIX ลงทุนตราสารหนี้คุณภาพสูงทั่วโลก อายุเฉลี่ยหุ้นกู้ไม่ถึง 2 ปี ลดความเสี่ยงที่อาจเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของดอกเบี้ย ชูจุดเด่นสภาพคล่องสูง ความผันผวนต่ำ ผลตอบแทนโดดเด่น

นายพงษ์ธารินทร์ ทรัพยานนท์ หัวหน้าการลงทุนตราสารหนี้ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อเบอร์ดีน จำกัด เปิดเผยว่า อเบอร์ดีนมองการลงทุนในตราสารหนี้เป็นโอกาสและจังหวะที่เหมาะสม เชื่อว่าดอกเบี้ยสหรัฐฯ น่าจะผ่านจุดสูงสุดแล้วหลังจากเศรษฐกิจแข็งแกร่งในปีนี้ จึงเห็นการปรับขึ้นดอกเบี้ยสูงจนแตะระดับ 5.5% ในเวลารวดเร็วและเป็นอัตราสูงสุดในช่วง 20 ปี ซึ่งอเบอร์ดีนมอง 6-12 เดือนข้างหน้า แนวโน้มดอกเบี้ยน่าจะกลับมาอยู่ในช่วงขาลง ขณะเดียวกันคาดว่าปีหน้าเศรษฐกิจสหรัฐฯจะชะลอตัว แต่ไม่ถึงกับเศรษฐกิจถดถอย และสามารถลดอัตราดอกเบี้ยได้ในระดับหนึ่ง คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 4%

“แนะนำนักลงทุนขยับออกจากการลงทุนในมันนี่ มาร์เก็ตมาลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ที่มีอายุเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น 1-2 ปี หลังจาดเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯเกิดความผิดปกติจาการที่ผลตอบแทนไม่สัมพันธ์กับอายุของตราสารหนี้ โดยการลงทุนในตราสารหนี้ระดับ 1-2 ปี แต่มีอัตราผลตอบแทนสูงกว่าการลงทุนในพันธบัตรอายุ 10 ปี นอกจากนี้แนะนำลงทุนในตราสารหนี้คุณภาพดีในระดับ Investment Grade มากกกว่าไฮยิลด์บอนด์ เพราะยังมีความไม่แน่นอนจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ จึงมีความเสี่ยง ขณะที่ไฮยิลด์บอนด์ มีส่วนต่างของอัตราผลตอบแทนกับความเสี่ยงไม่จูงใจ”นายพงษ์ธารินทร์ กล่าว

บลจ.อเบอร์ดีน จึงเสนอขายกองทุนเปิดอเบอร์ดีน โกลบอล เอนแฮนซ์ ฟิกซ์ อินคัม ฟันด์ (ABGFIX) เสนอขายครั้งแรก (IPO) ระหวางวันที่ 20-30 พ.ย.2566 โดยกองทุนจะลงทุนในกองทุน abrdn SICAV I Short Dated Enhanced Income Fund, Class Z Acc USD (กองทุนหลัก) มีการลงทุนใน Debt and Debt Related Securities ในระดับ investment grade อย่างน้อย 50% ของสินทรัพย์ของกองทุน และจะลงทุนในระดับ sub investment grade ไม่เกิน 20% ของสินทรัพย์ของกองทุน กองทุนหลักจะดำรง credit rating ของพอร์ตการลงทุนเฉลี่ยขั้นต่ำที่ A และ portfolio duration ในช่วง 1 -2 ปี ในภาวะปกติ ทั้งนี้ เพดานไม่เกิน 2.5 ปี

ปัจจุบันพอร์ตลงทุนของกองทุนหลักลงทุนในตราสารหนี้ทั่วโลกที่มีคุณภาพดี แบ่งเป็น ตราสารหนี้ประเทศพัฒนาแล้ว 63% และตราสารหนี้ประเทศตลาดเกิดใหม่ 37% โดยการเพิ่มผลตอบแทนส่วนหนึ่งมาจากการลงทุนในไฮยิลด์บอนด์ 13% จากเพดานการลงทุนที่ 20% โดยกองทุนนี้สามารถให้ผลตอบแทนที่ดี จากพอร์ตการลงทุนที่หลากหลาย ประกอบกับการลงทุนในอายุตราสารหนี้ที่เหมาะสม ซึ่งหากดู ณ ปัจจุบันกองทุนให้ผลตอบปแทนเฉลี่ยของพอร์ตตราสารหนี้ที่ถืออยู่ประมาณ 6.3% และมีตราสารหนี้ที่ลงทุนอายุเฉลี่ยประมาณ 1.3 ปี โดยค่าเฉลี่ยของอันดับความน่าเชื่อถือชองตราสารหนี้อยู่ที่ A/A- โดยมีส่วนต่างเพิ่มขึ้นจากการลงทุนปกติประมาณ 1.7%

นอกจากนี้จากสถิติการทดสอบผลตอบแทนย้อนหลัง 10 ปีระหว่างปี 2013-2022 กรณีเผชิญกับเหตุการณ์ที่เลวร้าย กองทุนมีโอกาสขาดทุนสูงสุดเพียง 2.7% ขณะที่กองทุนที่ลงทุนตราสารหนี้เอกชนทั่วโลกติดลบมากถึง 25% ซึ่งถือเป็นความผันผวนที่ต่ำจากกลยุทธ์การลงทุน

ขณะที่สภาพคล่องของกองทุนหลักสามารถทำให้มีการขายคืนหน่วยลงทุนได้ในระดับ T+1 เนื่องจากมีการถือเงินสดประมาณ 10% และมีการลงทุนในตราสารหนี้ที่อายุต่ำกว่า 1 ปีขั้นต่ำอยู่ประมาณ 15% และมีการลงทุนในตราสารหนี้ในประเทศพัฒนาแล้วเป็นหลัก
 
จุดเด่นของกองทุนหลัก คือ 1.ตราสารหนี้มีคุณภาพสูง พอร์ตการลงทุนมีอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้เฉลี่ยอยู่ในเกณพ์ที่ดีไม่ต่ำกว่า A-

2.ยกระดับอัตราผลตอบแทนที่สูงขึ้น โดยกองทุนหลักตั้งเป้าผลตอบแทนส่วนเพิ่มด้วยไฮยิลด์บอนด์20% และอัตราผลตอบแทน SOFR +1.75-2.25%

3.เป็นกองทุนที่มีความผันผวนต่ำ ด้วยอายุเฉลี่ยตราสารหนี้ของพอร์ตน้อยกว่า 2 ปี ลดความเสี่ยงที่อาจเกิดจาการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ย

4.สภาพคล่องสูง โดยนักลงทุนสามารถรับเงินขายหน่วยลงทุนคืนได้ภายใน 2 วันทำการ ขณะที่กองทุนหลักสามารถรับเงินคืนได้ภายใน 1 วันทำการ

นายพงษ์ธารินทร์ กล่าวว่า กองทุน ABGFIX จะไม่มีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากมองว่าแนวโน้มค่าเงินดอลลาร์จะแข็งค่าขึ้นมากกว่าอ่อนค่า ซึ่งน่าจะเป็นโอกาสในการเพิ่มผลตอบแทนที่ดีกว่า ขณะเดียวกันปัจจุบันต้นทุนในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนค่อนข้างสูง

“อเบอร์ดีนมองว่าการเพิ่มกองทุนนี้เข้าไปใพอร์ต จะช่วยกระจายความเสี่ยงหากปีหน้าเกิดเหตุใดๆ ที่ไม่คาดคิด ซึ่งผลตอบแทนจากกองทุนนี้จะช่วยพอร์ตรวมได้ จากผลตอบแทนของกองทุนหลักที่ยังสามารถทำผลตอบแทนได้สูงถึง 7%””นายพงษ์ธารินทร์ กล่าว