HoonSmart.com>>ดัชนี SET ร่วง 13.76 จุด บล.ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) หรือ CGSI คาดตลาดหุ้นแกว่งผันผวน สถาบันกลับมาขายหลัง”ทริส”ประเมินซื้อกิจการโครงการ”The Happitat” อาจทำให้ระดับสำรองสำหรับเครดิต CPAXT-CPALL ลดลงอย่างมีนัย นอกจากนี้ บอนด์ยีลด์ยังสูงหนุนเงินดอลลาร์สหรัฐ ส่งทิศทางเงินบาทอ่อนค่า
เมื่อเวลา 11.40 น.ดัชนี SET ร่วง 13.76 จุด มาที่ 1,363.77 จุด หรือ -1%
บล.ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) หรือ CGSI คาดว่าตลาดหุ้นไทยน่าจะยังแกว่งผันผวน หลังวานนี้นักลงทุนสถาบันกลับมาขายสุทธิ 1.3 พันล้านบาท (-7.7 พันล้านบาท, wtd) จากประเด็นทริสเรทติ้งประเมินการซื้อกิจการโครงการ “The Happitat” อาจส่งผลกระทบต่อสถานะการเงินของ CPAXT และจะทำให้ระดับสำรองสำหรับอันดับเครดิต (Credit Rating Buffers) ของ CPAXT-CPALL ลดลงอย่างมีนัย (ปัจจุบันอันดับเครดิตยังไม่เปลี่ยนแปลง) ส่งผลให้มีแรงขายหุ้นใหญ่ออกมาในช่วงบ่ายวานนี้
ทั้งนี้ เชื่อว่าหากยังไม่มีแรงซื้อจากนักลงทุนทั้งสถาบันและต่างประเทศเข้ามา ตลาดน่าจะยังผันผวนต่อ นอกจากนี้บอนด์ยีลที่ยังอยู่ในระดับสูง ยังหนุนค่าเงินดอลลาร์ ส่งผลให้เงินบาทยังอยู่ในทิศทางอ่อนค่า
ปัจจัยที่ต้องติดตาม 1) ตัวเลข PCE ของสหรัฐ (คืนนี้) 2) มาตรการกระตุ้นกำลังซื้อ โครงการ Easy E-receipt โดยกระทรวงการคลังเตรียมเสนอเข้าประชุมครม.ในสัปดาห์หน้า(24 ธ.ค.)
หุ้นแนะนำ CRC คาดว่าบริษัทจะมีกำไรสุทธิเติบโตในไตรมาส 4 ปี 2567 และปี 2568 จากยอดขายที่ฟื้นตัวและการบริหารต้นทุนและควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพทั้งค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและค่าใช้จ่ายทางการเงิน นอกจากนี้มาตรการกระตุ้นกำลังซื้อจากภาครัฐจะช่วยสนับสนุนการใช้จ่ายของผู้บริโภค
(Take profit : 36.0 / Stop loss : 32.75)
SCB ปรับประมาณการ EPS ในปี 2567-2569 ขึ้น 1.8-10.8% เนื่องจากคาดว่าส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยของธนาคารจะเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันอัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ต่อรายได้ลดลงหลังจากขายเงินลงทุนในบริษัท เพอร์เพิล เวนเจอร์ส (Not isted) ซึ่งจะส่งผลให้ EPS เติบโต 7% และคาดว่าธนาคารจะมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงถึง 9-10% ในปี 2568-2569 (Take profit : 120.0 / Stop loss : 115.0)
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดบวก-ลบ โดยดัชนี DJIA รีบาวด์ปิดแดนบวกหลังจากปรับตัวลงมาติดต่อกันนานที่สุดนับตั้งแต่ปี 1974 ก่อนหน้านี้ โดยปัจจัยที่ยังคงกดดันตลาด ได้แก่ บอนด์ยีลด์สหรัฐ 10 ปี ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นทะลุระดับ 4.5% เป็นวันที่สองหลังจากที่ Fed ส่งสัญญาณชะลอการลดดอกเบี้ยในปี 2568 เหลือเพียง 2 ครั้ง รวม 50bp (จากเดิม 4 ครั้ง รวม 100bp) กอปรกับรายงานตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ เมื่อวานนี้ (19 ธ.ค.) ออกมาสอดคล้องกับรายงานของเฟด ที่ระบุว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่ง
1) โดยตัวเลข GDP ไตรมาส 3 ปี 2567 ขยายตัว 3.1% (ประมาณการก่อนหน้าที่ +2.8%, ไตรมาส 2 ปี 2567 ที่ +3.0%)
2) จำนวนคนยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 22,000 ราย สู่ระดับ 2.2 แสนราย ต่ำกว่าตลาดคาดที่ 2.29 แสนราย และ
3) ยอดขายบ้านมือสองเดือนพ.ย. เพิ่มขึ้น 1.9 แสนยูนิต สู่ระดับ 4.15 ล้านยูนิต สูงกว่าตลาดคาดที่ 4.09 ล้านยูนิต
แนวโน้มการชะลอลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดในปีหน้า ยังกดดันให้ตลาดกังวลต่ออุปสงค์น้ำมัน และส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวลดลง 0.95% เช่นเดียวกับราคาทองคำที่ร่วงลงมา 1.7%
วันนี้ จับตารายงานตัวเลขดัชนี PCE เดือนพ.ย. ของสหรัฐ ตลาดคาดว่าจะปรับตัวขึ้น 2.5% yoy (เดือนต.ค. ที่ 2.3%) และ Core PCE ที่ตลาดคาดว่าจะปรับตัวขึ้น 2.9% yoy (เดือนต.ค. ที่ 2.8%)
ประเด็นสำคัญอื่นเมื่อวานนี้ (19 ธ.ค.) ได้แก่ การตัดสินใจเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ BoJ และ BoE ที่มีมติคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 0.25% และ 4.75% ตามลำดับ สอดคล้องกับที่ ตลาดคาด โดยมติของ BoE เป็นแรงกดดันให้ดัชนี FTSE100 ปิดลบ 94 จุด
———————————————————————————————————————————————————–